สำหรับแบรนด์ Nothing ในตอนนี้ก็ถือว่า ยังเป็นแบรนด์น้องใหม่สำหรับวงการเทคฯมาก ๆ มีอายุนับถึงตอนนี้แค่ 5 ขวบเท่านั้น ไลน์อุปกรณ์ในปัจจุบันก็ครอบคลุมหลายแขนงทั้ง สมาร์ตโฟน นาฬิกา และหูฟัง
ซึ่งสินค้าอย่าง ‘หูฟัง’ เนี่ยทาง Nothing ก็มีการออกสินค้าใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ มีทั้งแบบ In-Ear, On-Ear และ Open-Ear ผ่านเวลามา 5 ปีทางแบรนด์ก็ได้เปิดตัวหูฟังแบบ Headphone เป็นครั้งแรกในรุ่น Nothing Headphone (1) ที่ได้ออกแบบโปรไฟล์ และจูนเสียงร่วมกับแบรนด์เครื่องเสียง KEF ที่มีประสบการณ์กว่า 60 ปี ไปดูกันว่ารุ่นนี้มีดีมากกว่าดีไซน์ข้างหูจริงหรือไม่ !
โดยรีวิวของ Nothing Headphone (1) เนี่ยจะแบ่งออกมาเป็น 4 พาร์ตใหญ่ ๆ ที่อ่านแล้วจะเข้าใจตัวตนของหูฟังครอบหูนี้เลยละ
ดีไซน์ของ Nothing Headphone (1) ไม่เหมือนหูฟังครอบหูแบรนด์อื่น ๆ ตัวครอบหู ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม ด้านข้างเป็นดีไซน์โปร่งใสเหมือนฝาหลังของสมาร์ตโฟน Nothing จนไม่ว่าใครที่ใส่แล้ว คนรอบตัวต้องมีมองบ้าง ก้านหูฟังก็สามารถปรับได้หลายระดับ รองรับหลายขนาดศีรษะ และใครที่สวมแว่น จากการทดลองก็พบว่า ตัวหูฟังบีบขาแว่นไม่มากด้วยนะ
ในแง่ของดีไซน์ Headphone (1) เนี่ยทางแบรนด์ Nothing ก็ได้บอกว่า ในปัจจุบันหูฟังประเภทครอบหูเนี่ย มันมีดีไซน์เหมือนกันแทบจะทั้งหมด ดูไม่หลากหลาย จำเจ แถมน่าเบื่ออเสียอีก รวมไปถึงลองไปสั่ง AI ช่วยเจนภาพหูฟังครอบหูก็จะมีดีไซน์เหมือนกันแทบทั้งหมด ซึ่ง Nothing ก็ขอแหวกขนบธรรมเนียมดีไซน์อยากให้แตกต่างจากคนอื่น และยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์เอาไว้
สิ่งแรกที่ได้เห็นดีไซน์ของหูฟังครอบหู Headphone (1) ตั้งแต่มีภาพหลุดครั้งแรกก็บอกได้เลยว่า ‘แปลก’ มันไม่สวยเอาซะเลย ใส่แล้วมันจะสวยจริงเหรอ ? แต่พอได้สัมผัส และได้ลองใส่ก็พบว่า มันสวยกว่าภาพจริง ๆ มันดูว้าว ใส่แล้วมันไม่เหมือนคนอื่น ๆ แน่นอน
ดีไซน์ด้านข้างโปร่งใส เห็นลวดลายออกแบบที่บอกได้ทันทีนี่คือ Nothing เหมือนฝาหลังสมาร์ตโฟนรุ่นที่เคยเปิดตัวผ่าน ๆ มา วัสดุตัวครอบหูก็มีความพรีเมียมทำมาจาก ‘อะลูมิเนียม’ ต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดที่มักจะเลือกใช้พลาสติกทำตัวหูฟัง แม้ว่าวัสดุจะไม่พรีเมียมเท่าแต่มีความได้เปรียบคือ น้ำหนักเบา ใส่เป็นเวลานาน ๆ ได้ ต่างจาก Headphone (1) ที่บอกได้เลยว่าเป็นจุดบอดของรุ่นนี้คือ มีน้ำหนักที่มาก ทดลองใส่จริงนาน ๆ แล้วพบว่า หนักหัวค่อนข้างมาก ใส่สัก 1-2 ชั่วโมงก็ต้องถอดออก
อีกหนึ่งจุดเด่นของหูฟัง Nothing Headphone (1) ที่ไม่แพ้ดีไซน์เลยก็คือ ‘ปุ่มควบคุม’ ซึ่งทาง Nothing ก็ได้บอกว่า หูฟังในปัจจุบันนั้นมีปุ่มที่ควบคุมได้ยาก และหูฟังบางรุ่นยังใช้การควบคุมแบบสัมผัส ซึ่งการควบคุมแบบนี้แหละใช้ค่อนข้างจะยาก ทาง Nothing เลยใส่ใจในจุด ๆ นี้มาก มีการออกแบบปุ่มควบคุม และวางตำแหน่งที่ใช้งานง่าย
โดยปุ่มควบคุม Nothing Headphone (1) จะมีอยู่ทั้งหมด 5 ปุ่มได้แก่
ถ้าใครต้องการปรับแต่งตั้งค่าของปุ่มต่าง ๆ ก็สามารถเข้าไปได้ที่แอปฯ Nothing X
ด้านของคาแรกเตอร์ และคุณภาพเสียงของ Nothing Headphone (1) เอาในตามความเป็นจริงแล้ว เรื่องของเสียงนั้นเป็นเรื่องจำเพาะมากสำหรับหูของแต่ละคน ในทางที่ดีที่สุดอยากจะแนะนำให้ไปทดลองฟังที่หน้าร้านมาก ๆ
สิ่งที่น่าสนใจของ Nothing Headphone (1) คือ เค้ารู้ตัวว่า Nothing เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ที่ไม่เก่งด้านเรื่องเสียง ในหูฟังครอบหูรุ่นแรกนี่ทาง Nothing ก็ได้ไปจับมือกับ แบรนด์เครื่องเสียง KEF ที่มีประสบการณ์กว่า 60 ปีมาช่วย Co-Engineer ออกแบบ ไดร์เวอร์ คาแรกเตอร์เสียง และปรับจูนระบบตัดเสียง
จากการทดลองใช้หูฟัง Nothing Headphone (1) มาซักระยะหนึ่งพบว่า เป็นหูฟังที่เน้นย่านสูง ไม่แหลมจนเกินไป และย่านกลางค่อนข้างเรียบ ฟังง่าย เน้นฟังเพลงในชีวิตประจำวัน เอาง่าย ๆ เหมือนฟัง AirPods จากแบรนด์ Apple
แต่ ๆ ในย่านต่ำ หรือเบสนั้น ตัวหูฟังยังสามารถขับออกมาได้ มีเนื้อเสียง ใครอยากจะซื้อไปฟังเพลง EDM หรือแนวฮิปฮอปก็จัดได้ ถ้าใครคิดว่าเบสค่าเริ่มต้นของหูฟังยังไม่พอ สามารถเข้าไปตั้งค่า ‘Bas Enhancement ’ ในแอปฯ Nothing X ซึ่งปรับได้ทั้งหมด 5 ระดับ ชอบเสียงตึ๊บ ๆ แบบพอดี 1-2 หรือชอบตึ๊บมาก ๆ ก็ 4-5 เลย
รวมไปถึงในแอปฯ Nothing X ก็ยังสามารถปรับ Equalizer ได้ด้วยมี 4 Preset ที่เลือกใช้ได้เลยคือ Balance, More Base, More Treble และ Voice หรือใครอยากจะปรับโปรไฟล์เสียงเองก็เข้าไปที่โหมด Custom ได้เลยนะ
ถ้าใครคิดว่า Custom ละเอียดไม่พอก็เข้าไปที่แถบ Advanced เราสามารถสร้าง Profile แยกได้ด้วย ปรับละเอียดยิบ ๆ เลย รวมไปถึงยังแชร์โปรไฟล์เสียงนี้ให้คนอื่นได้ด้วย
อย่างไรก็ตามด้านคุณภาพเสียงหากเชื่อมต่อ Nothing Headphone (1) กับ iPhone / iPad จะได้คุณภาพเสียงระดับ .AAC เท่านั้น
หากใครอยากเชื่อมต่อ และได้เสียงคุณภาพสูงนั้นก็ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน Android หากเชื่อมต่อแล้วสามารถสตรีมคุณภาพเสียงระดับ LDAC ได้ แต่ต้องเป็นสมาร์ตโฟน Android ที่รองรับ และเปิดสตรีมเพลงที่สามารถขับเสียงไฟล์ LDAC ได้ด้วย
ส่วนใครที่ชอบดูหนัง ซีรีส์ หูฟัง Nothing Headphone (1) ก็รองรับฟีเจอร์ Spatial Audio ที่ฟังแล้วจะรู้สึกเหมือนเสียงโอบอ้อมล้อมศีรษะเลย และในแอปฯ Nothing X ก็ปรับได้ทั้งหมด ปิด – Fixed เสียงโอบล้อมศีรษะแบบล็อกทิศทาง และ Head-tracking เสียงโอบล้อมตามทิศทางการหันของศีรษะ
จากการทดลองฟัง และเปิดโหมด Spatial Audio ก็พบว่า การดูหนัง ซีรีส์นั้นค่อนข้างตอบโจทย์เลยทีเดียวเหมือนเรากำลังดูจอโรงหนัง เสียงมีพื้นที่มากขึ้นรอบทิศทาง แต่การฟังเพลงนั้นหากเปิดแล้วคุณภาพเสียงนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนเลย เนื้อเสียงทั้งเครื่องดนตรี เสียงร้อง ลดลงหลายระดับ ถ้าใครยึดติดเรื่องคุณภาพเสียง แนะนำให้ปิดโหมดนี้เลย
นอกเหนือการเชื่อมต่อสตรีมเสียงด้วย Bluetooth 5.3 แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อหูฟังกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ด้วยสาย 3.5 มม. (มีแถมมาในกล่อง) และสาย USB-C หากเสียบแล้วก็สตรีมเพลงคุณภาพสูงระดับ LDAC ได้เลย
ต่อจากเรื่องคุณภาพเสียง ก็ต้องเรื่องนี้เลย ‘การตัดเสียงรบกวน’ ซึ่งการจะเป็นหูฟังที่เข้ากับยุคสมัยนี้ก็ต้องมาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวน และ Nothing Headphone (1) ก็มาพร้อมกับระบบนี้เช่นกัน สเปกตัวหูฟังมาพร้อมกับไมโครโฟนจำนวน 4 ตัว และระบบ AI วิเคราะห์ตัดเสียงรบกวนโดยเฉพาะ
ด้านคุณภาพการตัดเสียงรบกวนของ Nothing Headphone (1) ก็บอกตรง ๆ ว่า ตัดเสียงรบกวนได้ตามมาตรฐาน เสียงแอร์ เสียงคนพูด สามารถตัดได้หมด แต่ถ้าหากบอกเป็นตัวเลขเต็ม 10 ก็อยู่ประมาณ 8 คะแนน ตามสเปกสามารถลดเสียงรบกวนได้ประมาณ 42 เดซิเบล
ถ้าหากเจอเสียงดังที่มากเกินไปเช่นเสียงคอนเสิร์ต หรือเสียง EDM ดัง ๆ พบว่า ตัวหูฟังยังมีอาการ ‘งง’ ไม่สามารถเสียงรบกวนออกได้ จนเกิดความพร่า และช็อตระหว่างการตัดเสียงรบกวนด้วย
การตั้งค่าโหมดตัดเสียงนั้นสามารถปรับได้ทั้งหมด 4 ระดับได้แก่ ต่ำ, กลาง, สูง และ Adaptive (ปรับตามสภาพแวดล้อมรอบข้าง) ซึ่งปรับได้ในแอปฯ Nothing X
นอกเหนือจากโหมดตัดเสียงรบกวนแล้ว Nothing Headphone (1) ยังมีโหมดเสียงอีก 2 โหมดได้แก่ โหมดปิด (Off) คือไม่ใช้ ANC หรือ Transparency ใด ๆ และ โหมดโปร่งใส (Transparency) รับเสียงภายนอกเข้าตัวหูฟัง
ซึ่งจากที่ทดลองฟังแล้วพบว่า เสียงที่เข้ามาในตัวหูฟังนั้นมีความใสมาก ๆ ไม่ค่อยเหมือนใส่หูฟัง รับเสียงพูดจากคนได้ดี แต่เสียงพูดจากตัวเรานั้นยังมีความก้องอยู่บ้างเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบตัดเสียงที่ใช้แล้วหูอื้อ
ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างชอบโหมดนี้มากกว่า โหมดตัดเสียงรบกวน ถ้าใครที่เคยใช้หูฟัง AirPods Pro 2 หรือ AirPods Max แล้วชอบโหมดตัดเสียงรบกวน บอกเลยว่า Nothing Headphone (1) ตัวนี้สู้ได้
อ่านรีวิวมาถึงตรงนี้แล้ว สรุปว่า Nothing Headphone (1) เนี่ยเหมาะกับใคร ก็ต้องบอกเลยว่า เหมาะกับคนที่กำลังมองหาหูฟังครอบหูที่เน้นฟังสบาย ๆ ทั่วไป แต่ในบางอารมณ์ก็อยากฟังเพลงแบบเบสหนัก ๆ ได้ ถ้าใครชอบเสียงแนบเรียบ ๆ ใส ๆ ฟังก์ชันครบก็ต้องตัวนี้เลย
หรือว่าใครเป็นสายที่ชอบแต่งตัว หรือชอบแฟชันก็ ซื้อหูฟัง Nothing Headphone (1) เอาไปแต่งตัวได้ด้วย บอกได้เลยว่า สวมหูฟังรุ่นนี้คนรอบข้างต้องมีหยุดมองแน่นอน
สำหรับ Nothing Headphone (1) เปิดตัวมาทั้งหมด 2 สีได้แก่ สีขาว และสีดำ เปิดราคาขายอยู่ที่ 8,999 บาท สามารถสั่งซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป