ในยุคที่การถ่ายรูปฟิล์ม กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งแต่ก็มีความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาค่าฟิล์มนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนที่ชอบถ่ายด้วยกล้องฟิล์มหรือชอบฟีลลิ่งการใช้งานกล้องฟิล์มแต่สู้ค่าฟิล์มไม่ไหว ขอแนะนำให้รู้จักกับ Fujifilm X Half กล้องคอมแพคดิจิทัลที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์แหวกแนว โดยนำประสบการณ์การถ่ายภาพแบบ “Half-Frame” หรือครึ่งเฟรมในกล้องฟิล์มยุคเก่า มาผสานกับเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นกล้องที่เน้นความสนุกสนานในการถ่ายภาพและเปิดกว้างด้านความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการเน้นสเปกหรือความละเอียดสูง
ข้อดีของ FUJIFILM X Half คือดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกล้องฟิล์ม Half-Frame ในอดีต มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบาแค่ 240 กรัม ทำให้พกพาสะดวก ใส่กระเป๋ากางเกง หรือสะพายคล้องคอได้ง่าย น้ำหนักเบา มาพร้อมกับแป้นหมุนและคันโยกที่ให้ความรู้สึกแบบอนาล็อก การมี Optical Viewfinder แบบ Direct-view และปุ่มการใช้งานที่ให้อารมณ์เดียวกับกล้องฟิล์ม ทั้งคันโยกโหลดฟิล์ม วงแหวนปรับรูปรับแสงตรงเลนส์ รวมถึงฟิลเตอร์และโหมดถ่ายภาพอีกหลากหลาย
จุดเด่นสำคัญของ X Half คือการถ่ายภาพใน “แนวตั้ง” เป็นหลัก ด้วยอัตราส่วน 3:4 ซึ่งถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการนำไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะ ไม่ต้องมานั่งครอปให้เสียเวลา แน่นอนว่าถ้าต้องการรูปแนวนอนก็ต้องถือกล้องตั้ง และที่ย้อนฟิลเรโทรไปด้วยคือเมื่อโหลดรูปลงสมาร์ตโฟน รูปแนวนอนที่เราถ่ายมา มันจะไม่พลิกรูปอัตโนมัติให้นะครับ ต้องมากดพลิกเองในโทรศัพท์
โหมดที่ฟูจิคิดมาครบมากคือ Film Camera Mode ที่จำลองประสบการณ์การใช้กล้องฟิล์ม คุณสามารถกำหนดจำนวนภาพที่จะถ่ายล่วงหน้า เช่นอยากถ่าย 36 รูปเหมือนฟิล์มปกติ หรือถ่ายยาว ๆ 72 รูปแบบฟิล์ม Half Frame และต้องใช้ก้านเลื่อนเฟรมเพื่อขึ้นฟิล์มก่อนกดชัตเตอร์ ไม่งั้นถ่ายไม่ได้ ที่สำคัญคือ “คุณจะยังไม่เห็นภาพ” จนกว่าจะถ่ายครบตามจำนวนที่ตั้งไว้ หรือถ้าใครใจร้อน ก็แตะ 2 ครั้งที่จอเล็กเพื่อกรอฟิล์มกลับเข้ากลักไปล้าง ซึ่งจะต้อง “ล้างฟิล์ม” ดิจิทัลนี้ผ่านแอปฯ “X half” เท่านั้น ไม่สามารถดูรูปที่ถ่ายด้วย Film Camera Mode ในกล้องได้ และเมื่อล้างในสมาร์ตโฟนเสร็จจะได้ภาพ Contact Sheet ที่เหมือนเอาฟิล์มมาวางเรียงโชว์ทุกรูปด้วย
Fujifilm ไม่เคยทำให้ผิดหวังเรื่อง Film Simulations และ X Half ก็จัดเต็มด้วย Film Simulations ยอดนิยมถึง 13 รูปแบบ ซึ่งล้วนให้โทนสีและอารมณ์ภาพที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งแฟนฟิล์มฟูจิรู้จักกันดี
นอกจากนี้ยังมีเอฟเฟกต์พิเศษ เช่น Light Leak ทำแสงรั่วในฟิล์ม ที่สุ่มแบบไปเรื่อย ๆ ด้วย, Halation แสงฟุ้งนิด ๆ และ Expired Film หรือสีเพี้ยนเพราะฟิล์มบูด ที่เลียนแบบความไม่สมบูรณ์แต่มีเสน่ห์ของกล้องฟิล์มจริง ๆ รวมถึง Grain Effect (เกรนภาพ) ที่ปรับได้ และ Date Stamp แบบคลาสสิก
ด้วยความที่กล้อง X Half ถ่ายภาพแบบครึ่งเฟรม เพราะงั้นเลยมีฟีเจอร์ “2in1” (Diptychs) ที่ช่วยให้คุณสามารถรวมภาพถ่ายแนวตั้งสองภาพเข้าด้วยกันเป็นภาพเดียว (ก็คือกลับมาเป็นฟลูเฟรม) สร้างสรรค์เรื่องราวหรือเปรียบเทียบภาพได้อย่างน่าสนใจ ก็ทำได้ง่าย ๆ ผ่านตัวกล้องและแอปฯ X Half
แม้จะโดดเด่นในเรื่องความเล็ก เบา และดีไซน์ที่ชวนให้นึกถึงกล้องฟิล์มยุคก่อน แต่ Fujifilm X Half ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อจริงจัง
อย่างแรกคือเรื่องระบบโฟกัส ซึ่งจากการทดลองใช้งานจริง ยังถือว่าทำงานได้ช้ากว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายในสถานการณ์ที่ต้องการความรวดเร็วทันใจ คือเราต้องใช้ X Half แบบเป็นกล้องฟิล์มจริง ๆ ที่ไม่มีระบบโฟกัสความเร็วสูงเหมือนกล้องปัจจุบัน
อีกจุดหนึ่งคือคุณภาพของภาพถ่าย เนื่องจากเซนเซอร์เป็นแบบ 1 นิ้ว (ไม่ใช่ APS-C หรือ Full Frame) จึงให้มิติของภาพไม่ต่างจากภาพจากสมาร์ตโฟนนัก ถ้าใครคิดว่าจะเอาไปแทนกล้องจริงจัง นี่ไม่ใช่กล้องที่ออกแบบมาเพื่อสิ่งนั้น และ X Half ยังรองรับเฉพาะไฟล์ JPEG เท่านั้น ไม่สามารถถ่าย RAW มาแต่งต่อได้อย่างยืดหยุ่น จึงไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการภาพคุณภาพสูงหรือมีความยืดหยุ่นในการแต่งภาพแบบจริงจัง
นอกจากนี้ กล้องยังใช้เลนส์ Fixed (10.8mm f/2.8) ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งแม้จะทำให้ใช้งานง่ายขึ้น แต่ก็จำกัดมุมมองและสไตล์ภาพในระดับหนึ่ง เหมาะกับผู้ที่ถ่ายแนว street, snapshot หรือถ่ายเล่นในชีวิตประจำวันมากกว่างานภาพถ่ายเชิงพาณิชย์
แฟลชในตัวที่ให้มาเป็นแฟลชแบบ LED เหมือนแฟลชมือถือ สามารถเปิดค้างได้ มีความสว่างที่ “ช่วยได้บ้าง” ในบางสถานการณ์ แต่ยังไม่สู้แสงแรงๆ กลางแจ้ง โดยเฉพาะเวลาถ่ายย้อนแสงกลางวัน ซึ่งอาจต้องใช้เทคนิคช่วยเพิ่มเติม หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้นไปเลย
การถ่ายวิดีโอ จริง ๆ เราไม่เน้นการถ่ายวิดีโอบน X Half เท่าไหร่ เพราะข้อจำกัดมันเยอะ คือสามารถถ่ายที่ความละเอียด 1080/24 ในรูปแบบ 3:2 1080 x 1440 เท่านั้น และถ่ายได้ยาวสุดแค่คลิปละ 1 นาที แถมยังไม่มีกันสั่น ทำให้ต้องยืนนิ่ง ๆ ถ่ายกันเลยทีเดียว แต่วิดีโอของ X Half นั้นก็ยังสามารถเลือกสีฟิล์มได้ ทำให้ได้สีวิดีโอที่ออกมาสวย แถมยังสามารถถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่น 2x ได้อีกด้วย และที่แปลกใจคือฟูจิให้หัวแปลง USB-C เป็น 3.5 mm มาให้ด้วย สำหรับเสียบหูฟังฟังเสียงวิดีโอได้
สิ่งสุดท้ายที่ควรพูดถึงคือเรื่องราคาค่าตัว ซึ่งแม้จะมีฟีเจอร์หลายอย่างที่ออกแบบมาให้สร้างสรรค์สนุกๆ ได้ แต่เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพภาพถ่ายโดยรวมแล้ว อาจรู้สึกว่าสูงไปเล็กน้อยสำหรับบางคน โดยเฉพาะถ้าเปรียบเทียบกับกล้องคอมแพคดิจิทัลอื่นที่ให้คุณภาพไฟล์ภาพสูงกว่า หรือสามารถถ่าย RAW ได้
Fujifilm X Half ไม่ใช่กล้องสำหรับทุกคน แต่มันผ่านการคิดมาอย่างดีเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้กลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะคือผู้ที่ให้ความสำคัญกับ “ความรู้สึกในการถ่ายภาพ” เหมาะกับคนใช้กล้องฟิล์ม คนที่เข้าใจว่า Toy Camera คืออะไร มากกว่ากลุ่มที่ต้องการความละเอียด หรือความสามารถในการนำภาพไปใช้งานระดับโปร ซึ่งต้องใส่เทคโนโลยีระดับสูง ราคาแพงกว่านี้ X Hlaf จึงเป็นกล้องที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น สายคาเฟ่ สายท่องเที่ยว หรือคนที่อยากพกกล้องดีไซน์สวยติดตัวไว้ถ่ายอะไรสนุกๆ โดยไม่ต้องคิดมาก
FUJIFILM X Half เหมาะสำหรับ:
FUJIFILM X Half ไม่ได้เป็นกล้องที่เน้นความละเอียดสูงหรือสเปกที่หวือหวา แต่เป็นกล้องที่เน้น “ประสบการณ์” และ “ความรู้สึก” ในการถ่ายภาพ ด้วยการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกล้องฟิล์ม Half-Frame, Film Simulations ที่เป็นเอกลักษณ์ และฟังก์ชัน “Film Camera Mode” ที่น่าสนใจ ทำให้ X Half เป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการกลับมาสัมผัสความสุขในการถ่ายภาพฟิล์ม หรือผู้ที่ต้องการกล้องสำหรับบันทึกเรื่องราวในชีวิตประจำวันในมุมมองที่แตกต่างออกไป
ซึ่ง Fujifilm X Half เปิดตัวที่ราคา 25,990 บาท โดยมีให้เลือก 3 สีคือ Silver, Charcoal, Black ครับ
FUJIFILM X Half ไม่ได้เป็นกล้องที่เน้นความละเอียดสูงหรือสเปกที่หวือหวา แต่เป็นกล้องที่เน้น ประสบการณ์ และ ความรู้สึก ในการถ่ายภาพ