มีรายงานว่า Samsung อาจตัดสินใจเปลี่ยนวัสดุตัวเครื่องของ Galaxy S26 Ultra กลับไปใช้อะลูมิเนียมอีก เพื่อรับมือกับต้นทุนชิปเซตที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังทำให้การระบายความร้อนดีขึ้นด้วย ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ Apple ถูกคาดการณ์ว่าจะทำกับ iPhone 17 Pro เช่นกัน
ปัจจัยสำคัญ ที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือต้นทุนของชิ้นส่วนสมาร์ตโฟนระดับเรือธงที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชิปเซต ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีการผลิตที่พัฒนามากขึ้น ข้อมูลระบุว่าผู้ผลิตชิปอย่าง Qualcomm และ MediaTek ต้องจ่ายค่าผลิตเวเฟอร์ให้กับ TSMC สูงขึ้นถึง 24% สำหรับชิปเซตรุ่นใหม่ และแนวโน้มนี้ จะยิ่งรุนแรงขึ้น เมื่อเข้าสู่ยุคชิปขนาด 2 นาโนเมตรในปีหน้า
สำหรับ Samsung ซึ่งพึ่งพาชิปเซตของ Qualcomm มาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านชิปเซตเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้ จะเพิ่มขึ้นจาก 11.38 ล้านล้านวอน (ประมาณ 8,500 ล้านเหรียญ) ในปี 2566 เป็น 11.73 ล้านล้านวอน (ประมาณ 8,800 ล้านเหรียญ) ในปี 2567 ดังนั้น การเปลี่ยนจากไทเทเนียมอัลลอย กลับมาใช้อะลูมิเนียมซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า จึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลในการควบคุมต้นทุน
นอกจากการเปลี่ยนวัสดุแล้ว Samsung ยังพยายามลดต้นทุน และลดการพึ่งพา Qualcomm ด้วยการพัฒนาชิปเซตของตัวเองอย่าง Exynos 2600 ซึ่งผลิตบนสถาปัตยกรรม 2 นาโนเมตร GAA ของ Samsung เอง โดยคาดว่าชิปดังกล่าว อาจถูกนำมาใช้ใน Galaxy S26 Ultra บางรุ่น ที่จะวางจำหน่ายในบางประเทศ ซึ่งหากประสบความสำเร็จ ก็จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงงานผลิตชิปของ Samsung ต่อไปในอนาคต
แม้การเปลี่ยนมาใช้อะลูมิเนียม จะมีข้อดีด้านต้นทุนและการระบายความร้อนที่ดีกว่า ซึ่งจำเป็นต่อการรองรับชิปเซตประสิทธิภาพสูงอย่าง Snapdragon 8 Elite Gen 5 for Galaxy ที่อาจถูกโอเวอร์คล็อกให้มีความเร็วสูงขึ้น แต่ก็มีข้อสังเกตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่อาจเพิ่มขึ้น หรือความทนทานที่อาจลดลงในบางสถานการณ์ รวมถึงปัญหาเรื่องสีลอก ที่เคยพบในสมาร์ตโฟนบางรุ่น ซึ่งขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและการปรับปรุงคุณภาพของแต่ละแบรนด์
ที่มา : wccftech