
สมาร์ตโฟนของเรา ใช้งานไปนาน ๆ ก็มักจะต้องเกิดปัญหาเรื่องความช้า ไม่เหมือนเดิมอยู่บ้างแน่นอน แต่ปัญหานี้อย่าเพิ่งแก้ด้วยการซื้อใหม่ทันทีนะ !
ส่วนมาก อาการค้างของสมาร์ตโฟนอันเป็นดั่งอวัยวะที่ 33 ของเรานี้ มักเกิดจากการที่เครื่องของเรากำลังแบกรับภาระหนักจากแอปฯ ที่เราไม่ได้ใช้ หรือไม่ก็ไฟล์เก่า ๆ ที่ถูกลืม และกระบวนการทำงานต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังและสูบแบตเตอรี่ออกไป เพราะงั้น บทความนี้เลยอยากแนะนำวิธีการแก้ไขเบื้องต้นเวลาสมาร์ตโฟนของเราเริ่มช้าลงแล้ว ให้กลับมาใช้งานได้เหมือนใหม่ มาให้ลองทำตามกันดู
สิ่งแรกที่ควรทำเลย คือลองส่องดูหน้าจอหลัก หรือหน้ารวมแอปฯในเครื่องของเรา (App Drawer) เพื่อค้นหา แล้วก็ลบแอปพลิเคชันใด ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากแอปฯ ที่ไม่ได้ใช้งานจะกินพื้นที่ของสมาร์ตโฟนของเราแล้ว ยังอาจมีสิทธิ์ (Permissions) ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของเราได้ ซึ่งการลบแอปฯที่ไม่ได้ใช้ หรือไม่จำเป็นออก นอกจากจะเป็นการจัดการกับพื้นที่ในเครื่องให้โล่งขึ้น และทำให้ลื่นขึ้นได้ในภาพรวมแล้ว ยังทำให้มือถือของเราปลอดภัยขึ้นไปพร้อมกันเลย

นอกจากจะลบแอปฯ ที่ไม่จำเป็นออกไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเพิ่มพื้นที่ว่างของสมาร์ตโฟนของเราให้มากขึ้น ด้วยการลบไฟล์เก่า ๆ ที่เราไม่ได้ใช้นั่นเอง อาจจะเป็นไฟล์ที่เราเซฟไว้ในเครื่อง หรือไฟล์ที่เราดาวน์โหลดเอาไว้แล้ว ซึ่งมักจะเป็นไฟล์ที่เราเผลอลืมเอาไว้ แล้วก็สะสม สุมขึ้นมาจนเยอะเกินไป
วิธีที่เร็วและง่ายที่สุดในการจัดการพื้นที่เก็บข้อมูล คือการใช้แอปจัดการไฟล์ที่ติดตั้งมากับเครื่องอยู่แล้ว (ในมือถือ Samsung, OPPO, realme อาจใช้ชื่อแอปฯ ว่า ‘My Files’, บน Pixel, vivo, HONOR อาจชื่อ ‘Files’) วิธีง่าย ๆ คือลองเปิดหน้ารวมแอปฯ แล้วค้นหาคำว่า ‘Files’ ดู


ซึ่งไฟล์ที่เราสามารถเคลียร์ และลบออกไปได้ ก็เริ่มจากไฟล์ในโฟลเดอร์ ‘Downloads’ (ดาวน์โหลด) ของเรา อาจจะลบไฟล์ที่ไม่ต้องการ หรือย้ายเอาไฟล์ที่ยังใช้อยู่ ออกไปเก็บไว้ที่อื่น เช่นบน Google Drive, OneDrive, DropBox หรือที่เก็บข้อมูล Cloud อื่น ๆ นอกจากนี้ แอปฯ จัดการไฟล์ส่วนใหญ่ยังมีฟังก์ชันช่วยค้นหาไฟล์ขนาดใหญ่ให้เราเลือกลบได้ง่าย ๆ ด้วย นอกจากนั้น อยากให้เลือกลบ ‘รูปถ่าย’ ที่เราไม่ได้ใช้แล้ว
การปรับการตั้งค่าบางอย่าง แม้จะไม่ได้ทำให้เครื่องเร็วขึ้นได้อย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ก็อาจจะช่วยให้เครื่องของเราประหยัดแบตเตอรี่ได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อยเลย ซึ่งการตั้งค่าที่แนะนำให้ปรับกัน ก็จะประกอบไปด้วย



การตรวจสอบ ‘การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว’ (Privacy settings) นอกจากจะมีประโยชน์ด้านความปลอดภัยของข้อมูลแล้ว ยังสามารถจัดการไม่ให้สมาร์ตโฟนของเราทำงานหนักเกินจากการเข้าถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเรามากเกินไปได้ด้วย
วิธีการก็คือ ให้เปิดแอป ‘Settings’ (การตั้งค่า) ของเครื่อง แล้วแตะที่ ‘Privacy’ (ความเป็นส่วนตัว) จากนั้นเลือก ‘Permissions Manager’ (ตัวจัดการสิทธิ์) ลองใช้เวลาไล่ดูทีละหมวดหมู่ เพื่อตรวจสอบว่าแอปฯ ไหนบ้าง ที่กำลังมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล่วนตัวของเรา อาจจะเป็นกล้องถ่ายภาพ ไมโครโฟน ที่จัดเก็บ ตำแหน่งของเรา หรืออื่น ๆ ซึ่งการจัดการการเข้าถึงของเรา เพื่อนำการอนุญาตของเราออกไปจากแอปฯ ที่เราไม่ได้ใช้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน พอนำเอาการอนุญาตออกไปจากแอปฯที่ไม่ใช้ แอปฯเหล่านั้นจะเข้าถึงข้อมูส่วนตัวของเราน้อยลง และใช้ทรัพยากรสมาร์ตโฟนเราน้อยลงไปด้วยนั่นเอง


ถ้ารู้สึกว่าการลบข้อมูลไปแล้วบางส่วน ปรับการตั้งค่า หรือจัดการไฟล์ต่าง ๆ ไปแล้ว สมาร์ตโฟนของเรายังรู้สึกไม่ลื่นไหลพอ แนะนำให้ลอง ‘รีเซต’ ทั้งหมด เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ทำการลบข้อมูลแล้วลงโปรแกรมใหม่หมด การ Factory Reset สมาร์ตโฟนของเราให้กลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง จะเป็นเหมือนการล้างข้อมูล และล้างแคชในสมาร์ตโฟนของเราออกทั้งหมด และเริ่มต้นใหม่หมด (โดยเฉพาะตอนตั้งค่าสมาร์ตโฟนใหม่ ต้องลงแอปฯทั้งหมดใหม่เอง ซึ่งจะทำให้มีบัคน้อยกว่า และสามารถเลือกลงแอปฯ ที่เราใช้ใหม่ แล้วไม่ลงแอปฯ ที่คิดว่าจะไม่ได้ใช้ก็ได้เหมือนกัน)
แต่วิธีนี้ จะลบข้อมูลทั้งหมดในสมาร์ตโฟนของเรา ซึ่งเราจะต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดของเราออกจากสมาร์ตโฟนก่อน ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้แรง และเวลาค่อนข้างเยอะ ดังนั้น จึงเหมาะจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายจริง ๆ ถ้าเกิดว่าแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นแล้วสมาร์ตโฟนของเรายังช้าอยู่

วิธีการรีเซตสมาร์ตโฟนก็อาจจะแตกต่างกันไปกันแต่ละแบรนด์ แต่โดยปกติมักจะเข้าได้ผ่านทาง การตั้งค่า -> การตั้งค่าระบบ -> รีเซต หรือเมนูที่ใกล้เคียงกัน หลังจากนั้นก็สามารถเลือกที่จะ ‘รีเซตมือถือ’ ของเราได้เลย เมื่อรีเซตเสร็จแล้วให้ตั้งค่าใหม่ตามขั้นตอน และค่อย ๆ ตั้งค่าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ทั้งหมดนี้เป็น 5 วิธีการพื้นฐาน ที่สามารถช่วยชุบชีวิตให้สมาร์ตโฟนที่เริ่มช้าลงได้ แม้บางวิธีอาจต้องใช้เวลาและใช้แรงในการสำรองข้อมูลอยู่บ (เช่นการทำ Factory Reset) แต่ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการเสียเงินซื้อเครื่องใหม่ทันที การพยายามตรวจสอบ และล้างไฟล์ที่เราไม่ได้ใช้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ให้ลื่นไหลได้อีกนานเลยทีเดียว





