ทุกครั้งที่ญี่ปุ่นเกิดสึนามิ ประชาชนในประเทศจะได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างรวดเร็ว เคยสงสันไหมว่าระบบของเขามีดียังไง มีเทคโนโลยีอะไรที่น่าสนใจบ้างถึงทำให้ญี่ปุ่นถึงอยู่หัวแถวด้านระบบเตือนภัย
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ประสบภัยพิบัติเป็นประจำโดยเฉพาะแผ่นดินไหวและสีนามิ เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่วงแหวนแห่งไฟที่มักจะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก นั่นจึงทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญในการลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยพยากรณ์และลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด
การสื่อสารแบบรวดเร็ว
สิ่งสำคัญในการลดความเสียหายคือ การสื่อสารอย่างรวดเร็วเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอพยพอย่างรวดเร็ว ซึ่งญี่ปุ่นก็พัฒนา J-Alert ระบบเตือนภัยระดับชาติที่ส่งการแจ้งเตือนให้รู้เวลาที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ โดยจะมีการกระจายข้อมูลผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน, ทีวี สถานีวิทยุ
Dynamic Seawall Systems (SMS) กำแพงกันคลื่นสึนามิ
สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียวพัฒนาระบบกำแพงกั้นน้ำทะเลเคลื่อนที่ (SMS) เพื่อช่วยปกป้องท่าเรือและลดความเสียหาย คลื่นพายุซัดฝั่ง คลื่นสูง รวมถึงสึนามิให้น้อยลง โดยกำแพงนี้จะสามารถยกตัวขึ้นจากพื้นทะเลทำหน้าที่เป็นกำแพงป้องกันได้
ญี่ปุ่นได้นำระบบนี้ไปใช้งานได้จริงในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดสึนามิแผ่นดินไหวในร่องน้ำนันไค เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญตามแนวชายฝั่ง รวมถึงท่าเรือต่างๆ
จุดเด่นคือ ระบบสามารถสร้างพลังงานด้วยตัวเองโดยใช้ประโยชน์จากพลังงานไมโครไทดัล อาศัยความต่างจากระดับน้ำขึ้น‑น้ำลงเล็กไปหมุนกังหังผลิตพลังงานไฟฟ้า ใช้ได้แม้ในช่วงไฟฟ้าดับ รวมถึงไฟฟ้าที่ผลิตเกินความต้องการก็ยังสามารถส่งต่อให้ท่าเรือต่างๆ ได้ด้วย
ระบบเตือนภัยสึนามิด้วย GPS
ระบบนี้พัฒนาขึ้นมาภายใต้ความร่วมมือระหว่างนักวิจัยจาก University College London (UCL) และมหาวิทยาลัยต่างๆ ในญี่ปุ่น ด้วยการใช้ดาวเทียม GPS ช่วยให้เตือนภัยได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น แถมยังเตือนภัยได้ทั่วโลก
ระบบนี้จะวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ของโลก ซึ่งอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 300 กิโลเมตร เนื่องจากการเกิดคลื่นสึนามิในช่วงแรกนั้นจะทำให้ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนลดลง ส่งผลกระทบต่อสัญญาณ GPS
จากการศึกษาข้อมูลจากสึนามิโทโฮกุ-โอกิ ปี 2011 นักวิจัยพบว่าสามารถประกาศเตือนได้ภายใน 15 นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการอพยพ
เนื่องจากวิธีการนี้ไม่ได้อาศัยข้อมูลแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว ทำให้ตรวจจับดินถล่มและภูเขาไฟระเบิดได้ด้วย แถมยังมีต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ จึงสามารถปรับปรุงระบบเตือนภัยในปัจจุบันได้ทันที
ระบบสังเกตการณ์ S-NET
S-net คือ เครือข่ายสังเกตการณ์ เพื่อตรวจจับแผ่นดินไหวและสึนามิใต้ท้องทะเล ติดตั้งไว้ตามแนวชายฝั่งด้านตะวันตกของญี่ปุ่น โดยระบบนี้จะประกอบด้วย เครื่องวัดแผ่นดินไหว เกจวัดแรงดันน้ำ เชื่อมต่อกับสายเคเบิลใต้น้ำความยาวกว่า 5,500 กม.
S-net สร้างเสร็จในปี 2017 รับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ช่วยให้แจ้งเตือนได้เร็วยิ่งขึ้นและตอบสนองกับภัยพิบัติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
Community-Based Systems
นอกจากระบบเตือนภัยระดับประเทศแล้ว ในหน่วยงานท้องถิ่นแต่ละพื้นที่ยังพัฒนาระบบสำหรับชุมชนเพื่อใช้ในการเฝ้าระวัง ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยโคจิ ได้พัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจจับคลื่นสึนามิอินฟราซาวด์
นำไปติดตั้งนอกชายฝั่งเพื่อสร้างเครือข่ายสถานีสังเกตการณ์ ช่วยคาดการณ์จุดเกิดสึนามิที่แม่นยำ ทั้งขนาดและความเร็ว เตือนภัยทันท่วงทีเพื่อช่วยให้การอพยพประชาชนในพื้นที่อย่างรวดเร็ว
AI เปลี่ยนข้อมูลบนโซเชียลเป็นข้อมูลเชิงลึก
ญี่ปุ่นเตรียมนำ AI มาเพื่อวิเคราะห์โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ข้อมูลสภาพอากาศและการจราจร รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เพื่อเปลี่ยนมาเป็นข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับเหตุการณ์และจุดที่เกิดภัยพิบัติ เพื่อเพิ่ม ศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติให้มากขึ้น
หนึ่งในระบบดังกล่าวคือ Spectee Pro บริการจัดการวิกฤตการณ์ด้วย AI บนคลาวด์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นและบริษัทต่างๆ ของญี่ปุ่น ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองและจัดการภัยพิบัติ
AI ของ Spectee Pro สามารถคัดกรองเฉพาะโพสต์โซเชียลมีเดียที่เชื่อถือได้ ด้วยการวิเคราะห์ข้อความและรูปภาพภายในโพสต์ก่อน แล้วยืนยันความน่าเชื่อถือของผู้โพสต์ต้นฉบับ จากนั้นจะให้ทีมที่เป็นมนุษย์ตรวจสอบความถูกต้องอีกทีเพื่อตรวจสอบองค์ประกอบที่ AI ไม่สามารถตรวจจับได้ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาแค่ 1 นาที
การใช้หุ่นยนต์และโดรนมาช่วยในการกู้ภัย
ญี่ปุ่นได้นำหุ่นยนต์และโดรนมาช่วยทั้งในการเฝ้าระวังและกู้ภัยมากขึ้น เช่น หุ่นยนต์กู้ภัย Quince สามารถนำไปใช้ในพื้นที่อันตราย เช่น อาคารใต้ดิน เพื่อประเมินความเสียหายและช่วยเหลือในการช่วยเหลือ นำไปใช้งานในพื้นที่เกิดแผ่นดินไหวและภัยพิบัติอื่นๆ แล้ว
ในขณะที่โดรนสามารถใช้ในการตรวจสอบพื้นที่ชายฝั่งและส่งคำเตือนให้กับประชาชน ด้วยการติดตั้งอินฟราเรดเพื่อตรวจจับความร้อน รวมถึงระบุตำแหน่งและสภาพของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้ ข้อมูลนี้จะถูกแบ่งปันกับหน่วยกู้ภัย ช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้อย่างรวดเร็ว ระบบนี้ได้ผ่านการทดลองใช้แล้ว คาดว่าจะนำไปใช้งานโดยหน่วยงานดับเพลิงและตำรวจในอนาคต
นอกจากนั้นในกรณีเกิดภัยพิบัติ โดรนยังทำหน้าที่เป็นเครือข่ายการสื่อสารไร้สายแบบชั่วคราวในกรณีที่เครือข่ายมือถือเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้
ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน
ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ประชาช เกี่ยวกับความเสี่ยงจากสึนามิและภัยพิบัติต่างๆ เพื่อให้กตอบสนองอย่างเหมาะสมเมื่อต้องเจอเหตุการณ์จริง เริ่มตั้งแต่ชุมชนและหน่วยงานต่างๆ จะมีการฝึกซ้อมและเรียนรู้วิธีการอพยพอย่างปลอดภัย
นอกจากนั้นรัฐบาลท้องถิ่นยังมีส่วนร่วมในมาตรการป้องกันภัยพิบัติด้วย ยกตัวอย่างเช่น โตเกียวแจกหนังสือคู่มือรับมือภัยพิบัติให้ทุกครัวเรือน รวมถึงเปิดอ่านได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ ซึ่งมีเผยแพร่ทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีนและเกาหลี
ด้วยการผสมผสานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้กับความคิดริเริ่มของชุมชน ส่งผลให้ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่มีระบบเตือนภัยที่ค่อนข้างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือต่อสึนามิและภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินประชาชนได้มากขึ้น
ที่มา tsunamiday web-japan japan