
เชื่อว่ามีผู้ใช้ Windows 11 จำนวนมาก พบปัญหา ‘File Explorer’ ซึ่งเป็นฟีเจอร์หลักของระบบทำงานได้ช้า และแย่กว่ารุ่นก่อนอย่าง Windows 10 อย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เครื่องมือตัวนี้ควรเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ตอบสนองรวดเร็ว และลื่นไหล…
ล่าสุด Microsoft ได้ออกมาแก้ปัญหานี้ผ่านอัปเดต Windows 11 Preview Build 26220.7271 (KB5070307) ที่แม้จะช่วยเพิ่มความเร็วขึ้นได้จริง แต่ก็เหมือนเป็นการเลี่ยงปัญหามากกว่าการแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะตัว OS จะมีการโหลด File Explorer ไว้ล่วงหน้าในหน่วยความจำทุกครั้งที่บูตเครื่อง ซึ่งพบว่ามีการใช้ RAM เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก
จากรายงาน File Explorer ใช้หน่วยความจำเพิ่มจาก 35MB เป็น 67MB แม้จะดูไม่มาก และไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานจริง แต่ประสิทธิภาพกลับเข้าขั้นแย่เหมือนเดิม ไม่ว่าจากทั้งการเลื่อนดูโฟลเดอร์ต่าง ๆ เมนูคลิกขวาที่ยังหน่วงเหมือนเดิม และการที่ใช้ RAM มากขึ้นในเครื่องที่มีทรัพยากรจำกัดอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก
องค์ประกอบของ WinUI/XAML แบบใหม่ที่ใช้ใน File Explorer ดูจะเป็นสาเหตุหลักของความหน่วงใน OS รุ่นนี้ แม้ว่าการออกแบบใหม่จะเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ เข้ามา เช่น แท็บ แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมลดลงอย่างมาก จนแอปฯ ทำงานได้ช้าลงกว่าใน Windows 10 อย่างชัดเจน
บริษัทยังถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการใช้ RAM ที่เพิ่มขึ้น แม้อุปกรณ์สมัยใหม่จะมี RAM 16GB ขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ และไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ในแล็ปท็อปราคาประหยัดน่าจะเห็นผลมากที่สุด การใช้ทรัพยากรที่มากขึ้นส่งผลให้การทำงานของแอปฯ อื่น ๆ ช้าลง และกระทบต่อการทำงานโดยรวมของระบบได้
รายงานในครั้งนี้ ยังสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้ Windows จำนวนมาก ที่เรียกร้องให้บริษัทแก้ bug ต่าง ๆ ก่อนจะเพิ่มฟีเจอร์ที่พวกเขาไม่ต้องการเข้ามา รวมไปถึงกระแสต่อต้านหลังจากที่บริษัทเตรียมทำให้ Windows เป็น ‘agentic OS’ หรือระบบปฏิบัติการที่ มี AI ทำงานอยู่เบื้องหลังตลอดเวลาก็กลายเป็นประเด็นร้อนเช่นกัน
ที่มา: Techspot





