
ปัจจุบันอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเรียกว่ามีอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น อย่าง HDD ก็มีโอกาสพังได้จากการตกกระแทก SSD ยิ่งแล้วใหญ่ แม้จะมีความเร็วที่สูงกว่าแต่อายุการใช้งานก็สั้นกว่า หรืออีกเทคโนโลยีอย่างเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) ก็ต้องมีการเขียนข้อมูลซ้ำเป็นระยะเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ
ล่าสุดมีเทคโนโลยีใหม่ ที่เรียกว่า ‘Memory Crystal 5D’ ซึ่งจะมาเปลี่ยนภาพรวมของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในแบบเดิม ๆ ให้สามารถอยู่รอดได้อย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่หลักสิบหรือหลักร้อย แต่เป็นหลักพันล้านปีเลยทีเดียว
สำหรับ Memory Crystal 5D หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘เมมโมรีคริสตัล’ ถูกพัฒนาโดยบริษัทสตาร์ทอัปจากอังกฤษในชื่อ SPhotonix ซึ่งก่อตั้งในปี 2024 โดยมีแนวคิดหลักคือการเข้ารหัสข้อมูลปริมาณมหาศาลไว้ภายในแก้วคริสตัลที่ทนทานเป็นพิเศษ ยิงด้วยเลเซอร์ความแม่นยำสูงจนสามารถควบคุมโครงสร้างของสสารในระดับนาโนได้
SPhotonix เลือกที่จะใช้เลเซอร์ femtosecond ในการเขียนข้อมูลลงไปทั่วทั้งปริมาตรของแผ่นแก้วฟิวส์ซิลิกา (Fused-Silica Glass Disc) ซึ่งที่เรียกว่า 5D ก็เพราะ มีทั้งการเข้ารหัสแบบ 3D ในด้านกายภาพ บวกกับคุณสมบัติทางแสงอีก 2D ทั้ง ทิศทาง และความเข้ม รวมกันเป็น 5D ทำให้สามารถเพิ่มความหนาแน่นของข้อมูลได้อย่างมาก และมีความทนทานที่ดีเยี่ยม
บริษัทยังกล่าวอีกว่า หากแผ่นแก้วมีขนาดเท่ากับออปติคัลดิสก์ทั่วไป จะสามารถเก็บข้อมูลได้มากถึง 360TB และหากเก็บภายใต้สภาวะปกติ จะสามารถเก็บรักษาข้อมูลได้ยาวนานถึง 13,800 ล้านปี เรียกว่าทนระดับอายุของจักรวาลเลยทีเดียว เพราะตัวมันเองทนต่อทั้งความร้อน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และการเสื่อมทางกายภาพต่าง ๆ

หากเทียบกับ SSD หรือ HDD แล้ว เทคโนโลยีนี้อาจไม่ใช่อุปกรณ์ที่สามารถอ่าน/เขียนได้ไวนัก เพราะมีความเร็วการเขียนอยู่ที่ 4MB/s และอ่าน 30MB/s เท่านั้น จึงเหมาะสำหรับงานประเภท deep archive หรือข้อมูลเชิงลึกที่ไม่มีการเรียกใช้งานบ่อย ๆ แต่มีความสำคัญสูง เช่น ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์, บันทึกทางวัฒนธรรม, เอกสารทางกฎหมาย และชุดข้อมูลทางประวัติศาสตร์
โดยทางบริษัทยังวางแผนพัฒนาให้เทคโนโลยีนี้สามารถอ่านเขียนได้ถึงระดับ 500MB/s ภายในช่วง 3-4 ปีข้างหน้านี้ เพื่อลดจุดอ่อนดังกล่าว
แน่นอนว่าเมื่อเป็นเทคโนโลยีใหม่ เรื่องต้นทุนก็ไม่ใช่ถูก ๆ แน่นอน โดยทาง SPhotonix ประเมินว่าระบบเครื่องเขียนข้อมูลสำหรับ Memory Crystal 5D จะมีราคาสูงถึง 30,000 เหรียญ (ประมาณ 945,000 บาท) และเครื่องอ่านข้อมูลอีกกว่า 6,000 เหรียญ (ประมาณ 189,000 บาท) โดยคาดว่าเครื่องอ่านแบบพกพาจะพร้อมให้ใช้งานในอีกประมาณ 18 เดือน ข้างหน้านี้
แม้จะยังมีข้อจำกัด แต่เทคโนโลยีนี้กลับได้รับความสนใจจากผู้ให้บริการดาตาเซนเตอร์จำนวนมาก จากจุดเด่นที่ไม่ต้องใช้พลังงานใด ๆ ในการบำรุงรักษา ไม่ต้องเขียนข้อมูลซ้ำ ๆ เพื่อรักษาสภาพของข้อมูลไว้ ซึ่งสวนทางกับเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ล่าสุด SPhotonix ยังได้รับเงินลงทุนหลักหลายล้านเหรียญ เพื่อผลักดันเทคโนโลยีนี้จากระดับห้องทดลองไปสู่ระบบทดสอบจริงในสภาพแวดล้อมของดาตาเซนเตอร์อีกด้วย เรียกว่าเป็นอีก 1 เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่น่าจับตามองเลยทีเดียว
ที่มา: TechSpot





