da Vinci เป็นหุ่ยนต์ช่วยผ่าตัดที่จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวของศัลยแพทย์ รวมถึงช่วยเพิ่มความแม่นยำในส่วนที่เข้าถึงได้ยาก ทำให้เพิ่มความสำเร็จในการผ่าตัดมากขึ้นกว่าเดิม
หุ่นยนต์ da Vinci มีแขนกลทั้งหมด 4 แขน สำหรับใช้อุปกรณ์ผ่านตัดที่แตกต่างกันไป รวมถึงมี Endoscopic หรือกล้องส่องทางเดินอาหารที่ช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถดูภายในร่างกายเราได้ หุ่นยนต์ da Vinci มีการอัปเกรดรุ่นใหม่ตลอดตามเวลา โดยรุ่นใหม่ ๆ สามารถผ่าตัดด้วยแผลที่ขนาดเล็ก ไม่ต้องเปิดแผนผ่าตัดใหญ่เหมือนการผ่าตัดทั่ว ๆ ไป ทำให้มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดที่น้อย และฟื้นตัวได้เร็ว ที่สำคัญคือ da Vinci จะขยับตามที่แพทย์ควบคุมเท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) อนุญาตให้ใช้หุ่นยนต์ da Vinci ในการผ่าตัดได้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2020 ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในระบบหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ในระบบดูแลสุขภาพในปัจจุบัน
หุ่นยนต์ da Vinci จะมีทั้งหมด 3 ส่วนหลัก
ศัลยแพทย์จะใช้หุ่นยนต์ da Vinci เพื่อทำผ่าตัด/หัตถการต่าง ๆ มากมายในสาขาเฉพาะทางที่แตกต่างกัน โดยหัตถการที่ทำบ่อยที่สุด ได้แก่ การผ่าตัดลำไส้ใหญ่, การทำลายเยื่อบุโพรงมดลูก, การผ่าตัดถุงน้ำดีออก, การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ, การใส่ท่อให้อาหาร, การผ่าตัดมดลูก, การซ่อมแซมลิ้นหัวใจ, การผ่าตัดโพลิเพกโตมีหรือการผ่าตัดติ่งเนื้อ, การผ่าตัดม้าม และการผ่าตัดต่อมทอนซิล
การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ da Vinci มีข้อดีหลายอย่าง เช่น เสียเลือดระหว่างการผ่าตัดน้อยกว่า, เกิดความเสียหายในเนื้อเยื่อน้อยกว่า, รอยแผลเล็กกว่า, ความเสี่ยงเรื่องภาวะแทรกซ้อนและการติดเชื้อน้อยกว่า, การฟื้นตัวที่เร็วกว่า ทำให้ไม่ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลนาน
แม้ว่าจะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ปัจจุบัน da Vinci ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง เช่น ใข้ระยะเวลาในการผ่าตัดที่นานกว่าการผ่าตัดปกติและมีต้นทุนที่สูงกว่า แต่ 2 อย่างนี้จะมีการพัฒนาที่ดีขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ที่มา Cleaveland