TAG Heuer เปิดตัวสมาร์ตวอตช์ที่ทำมาเพื่อ iPhone โดยเฉพาะ

TAG Heuer เปิดตัวสมาร์ตวอตช์รุ่นใหม่ Connected Calibre E5 ที่รอบนี้ทางบริษัทระบุว่าเป็นสมาร์ตวอตช์ที่ Made for iPhone โดยเฉพาะเลยด้วย

นับเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่ TAG Heuer เปิดตัว Connected Calibre E4 ตอนนี้ก็ถึงเวลาของรุ่นใหม่อย่าง Connected Calibre E5 มีให้เลือกทั้งหมด 2 ขนาด ได้แก่ขนาด 40 มม. หน้าจอขนาดใหญ่ 1.2 นิ้ว และ 45 มม. หน้าจอขนาดใหญ่ 1.39 นิ้ว

TAG เปิดตัวสมาร์ตวอตช์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Wear OS ของ Google มาโดยตลอด แต่สำหรับรอบนี้ บริษัทได้พัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมาโดยทีมวิศวกรกว่า 60 ในกรุงปารีส ใช้ชื่อว่า TAG Heuer OS ที่มีการปรับปรุงอินเทอร์เฟซและแอนิเมชันใหม่ การออกแบบเมนูที่ทำออกมาได้ดีขึ้น จุดเด่นของสมาร์ตวอตช์รุ่นนี้คือมีความเข้ากันได้ดีกับ iPhone เป็นอย่างมาก โดยได้รับการรับรองมาตรฐาน Made for iPhone อย่างเป็นทางการ

การได้รับการรับรองมาตรฐาน Made for iPhone ทำให้ Connected Calibre E5 มีความเข้ากันกับ iPhone ได้อย่างดีเยี่ยม การเชื่อมต่อที่ไว ความเสถียรในการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth นอกจากนี้ยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าฟีเจอร์สำคัญ อย่าง การแจ้งเตือน สายเรียกเข้า และการซิงค์ข้อมูลสุขภาพจะสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นบน iPhone

สาเหตุการเปลี่ยนมาใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองนั้น TAG Heuer ระบุว่า ผู้ใช้งานสมาร์ตวอตช์ TAG Heuer กว่า 70% เชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนที่เป็น iPhone มากกว่า

แน่นอนว่าฟีเจอร์ด้านสุขภาพนั้น ได้มาอย่างครบครัน อย่าง การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2), ความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ, ติดตามการนอนหลับ, อัตราการหายใจ และการนับแคลอรี่ นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานเข็มทิศ, accelerometer, gyroscope, บารอมิเตอร์ และ GNSS แบบ Dual-band เพื่อความแม่นยำของ GPS ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม Calibre E5 ไม่รองรับการเชื่อมต่อแอปภายนอกและ LTE แต่มีไมโครโฟนและลำโพงในตัว ทำให้สามารถสนทนาผ่านตัวเรือนได้

ด้านแบตเตอรี่นั้น TAG Heuer ขนาด 45 มม. สามารถใช้งานได้นานสูงสุด 3 วัน ในโหมดประหยัดพลังงาน หรือประมาณ 2 วันเต็มเมื่อใช้แบบงานปกติ ส่วนรุ่นขนาด 40 มม. สามารถใช้งานได้นานถึง 2 วัน หรือ 1.5 วันเมื่อเปิด Always-on Display

TAG Heuer Connected Calibre E5 เคาะราคาเริ่มต้นมาที่ 1,600 เหรียญ หรือประมาณ 52,200 บาทครับ

ที่มา MacRumors

วัชรกุล พัฒนาประทีป