เชื่อว่าหลายคนนอกจากจะใฝ่ฝันอยากมีบ้านหรือรถในฝันสักคันแล้ว ก็คงอยากมีห้องฟังเพลงส่วนตัวที่เต็มไปด้วยชุดเครื่องเสียงสุดหรูสำหรับเสพดนตรีในบ้าน แต่สำหรับ เคน ฟริตซ์ (Ken Fritz) เขาไม่ได้แค่ฝัน แต่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสร้างชุดเครื่องเสียงมูลค่ากว่า 1 ล้านเหรียญ (ประมาณ 32 ล้านบาท) และด้วยความหมกมุ่นนี้ ทำให้เกิดเป็นปัญหาภายในครอบครัว แลกมาด้วยความสัมพันธ์ที่แตกร้าวกับลูก ๆ…
ความหลงใหลเริ่มต้นตั้งแต่ยุค 1950 ตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น ฟริตซ์ได้ตั้งชมรม Hi-Fi Club รวมถึงทำงานในร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อเก็บเงินซื้ออุปกรณ์เครื่องเสียง จนได้พบกับซอล มาแรนซ์ (Saul Marantz) ผู้บุกเบิกเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ และวิศวกรระดับตำนานเข้า
ด้วยการสนับสนุนจากเพื่อนของพ่อผู้เป็นเจ้าของ warehouse อะไหล่รถยนต์ ทำให้เขาสามารถสั่งซื้อแอมป์ตัวแรกจากมาแรนซ์มาได้ แลกกับการที่ต้องมาทำงานในทุกวันเสาร์เพื่อหาเงินจ่ายค่าอุปกรณ์
หลายปีต่อมา ในที่สุดฟริตซ์ก็สามารถหาวิธีไล่ตามความฝันของเขาได้ ด้วยการสร้างบริษัทโพลิเมอร์จนประสบความสำเร็จ และนำรายได้มาสานฝันครั้งใหญ่ ด้วยการดัดแปลงห้องนั่งเล่นขนาด 1,650 ตารางฟุต ให้กลายเป็น “หอแสดงดนตรีส่วนตัว” มีผนังหนา 12 นิ้ว ระบบไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศแยกเฉพาะ พร้อมปรับแต่งพื้นต่าง ๆ เพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด
ความพิเศษของระบบนี้คือ ลำโพงสูง 3 เมตร หนัก 635 กิโลกรัม จำนวน 3 ตัว สุดอลังการงานสร้าง ซึ่งแต่ละตู้มี cone driver ถึง 24 ดอก, tweeters อีก 40 ดอก รวมแล้ว 3 ตู้ มีไดร์ฟเวอร์มากถึง 96 ดอก เสริมด้วย subwoofer, mid-bass อีกนับสิบ
นอกจากนี้เขายังเสริมด้วยเครื่อง Krell KBX ถึง 5 เครื่อง เพื่อที่จะควบคุมเสียงแต่ละย่านความถี่ให้ผลลัพท์ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แอมป์ Krell กำลังขับสูงถึง 35,000 วัตต์กับเครื่องเล่นแผ่นเสียงสั่งทำพิเศษในชื่อ ‘Frankentable’ เรียกว่าลงทุนในสิ่งที่ชอบขั้นสุด
ถ้าถามว่าเขาเอาจริงแค่ไหน เขายังได้ติดต่อบริษัท Acoustics First เพื่อออกแบบแผงซับเสียงเฉพาะ โดยอิงจากการวัดค่าอย่างละเอียด ไปจนถึงการนั่งลงมือระบายสีกรวยลำโพงด้วยปากกาเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตัวเองอีกด้วย
การหมกมุ่นในสิ่งที่ชอบมากเกินไปสุดท้ายก็นำมาซึ่งรอยร้าวในครอบครัว ซึ่งฟริตซ์มักบังคับให้ลูกทั้งห้าคนช่วยงานประกอบระบบเครื่องเสียงหลายชั่วโมงตั้งแต่ยังเล็ก ลูกชายคนหนึ่งถึงกับย้ายออกเพราะทนไม่ไหว ในขณะที่ลูกสาวเล่าว่า ในสมัยเด็กแทบไม่ได้ไปพักร้อนหรือท่องเที่ยวเลย เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับ “ห้องเครื่องเสียง” ของพ่อ
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าฟริตซ์เองจะไม่รู้ตัว โดยเขาได้ยอมรับตรง ๆ ระหว่างสัมภาษณ์ ว่า “ผมเป็นพ่อแค่ในนาม ไม่ได้เป็นพ่อหรือสามีเหมือนคนอื่นทั่วไป”
ปี 2016 ฟริตซ์ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรค ALS ก่อนอาการจะทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนในปี 2022 เขาต้องนอนติดเตียง และเริ่มกังวลว่าผลงานที่เขาสร้างมาตลอดชีวิตอย่างระบบเครื่องเสียงในฝันจะมีชะตากรรมอย่างไรหลังเขาจากไป…
หลังฟริตซ์เสียชีวิต ครอบครัวต้องตัดสินใจว่าจะจัดการกับมรดกชิ้นนี้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการพยายามขายทั้งบ้าน และเครื่องเสียงไปพร้อมกัน แต่กลับไม่มีใครกล้าซื้อ สุดท้ายต้องประมูลผ่าน eBid Local (เว็บไซต์ประมูลท้องถิ่น) ที่แม้แต่ซีอีโอเว็บไซต์เองยังยกย่องว่า “นี่อาจเป็นระบบเครื่องเสียงที่ดีที่สุดในสหรัฐฯ หรือแม้แต่ในโลก” แต่ความจริงคือ มันก็เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะหาคนมาซื้อได้อยู่ดี
อดัม เว็กซ์เลอร์ (Adam Wexler) จาก StereoBuyers กล่าวว่า “ระบบเครื่องเสียง Hi-Fi เป็นเรื่องที่อิงจากรสนิยมส่วนตัวเป็นอย่างมาก เขาได้สร้างสิ่งที่ฟังแล้วถูกใจตัวเขาเอง แต่จะมีสักกี่คนที่อยากได้ลำโพงยักษ์ที่ไม่รู้จะยกเข้าบ้านได้ยังไง จริงไหม ?”
สุดท้าย ลำโพงยักษ์สูง 3 เมตร ก็ถูกขายออกไปในราคาเพียง 10,100 เหรียญ (ประมาณ 326,000 บาท) เครื่องเล่นแผ่นเสียง Frankentable อีก 19,750 เหรียญ (ประมาณ 637,000 บาท) รวม ๆ แล้วขายอุปกรณ์ในห้องไปได้ทั้งหมดเพียง 156,800 เหรียญ (ประมาณ 5 ล้านบาท) เท่านั้น รวมทั้งแผ่นเสียง เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ครอบครัวต้องจำใจแยกขายออกไป ซึ่งห่างจากมูลค่าจริงที่เคยถูกประเมินว่ามีมูลค่าถึง 32 ล้านบาท ไปมาก
แม้จะไม่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ฟริตซ์ทุ่มเทมาทั้งชีวิต แต่เขาเองก็เคยกล่าวไว้เสมอว่า “คุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่การเดินทาง ไม่ใช่จุดหมาย” ต่อให้ผลงานที่สร้างมาทั้งชีวิตถูกประเมินเป็นเงินไม่กี่แสนเหรียญ แต่สิ่งที่เขาได้จริง ๆ คือความสุขตลอดเส้นทางที่สร้างมาด้วยตัวเอง และเสียงดนตรีที่คอยย้ำเตือนว่าเวลานั้นไม่สูญเปล่า
อย่างไรก็ตาม การละเลยความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ซึ่งฟริตซ์เองก็ได้ให้บทเรียนเรื่องนี้แก่เราด้วยเช่นกัน…
ที่มา: Headphonesty