สหรัฐ–อินเดียจับมือด้าน Defense Tech ไม่ใช่แค่เรื่องป้องกันประเทศ แต่ยังเป็นส่วนสำคัญเปลี่ยนแปลงอินเดีย ทั้งด้านกลาโหม การค้า และเทคโนโลยี
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐและ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียประกาศเปิดตัวโครงการ “U.S.-India COMPACT” (Catalyzing Opportunities for Military Partnership, Accelerated Commerce & Technology) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในหลากหลายมิติทั้งด้านกลาโหม การค้า และเทคโนโลยีดังนี้
สหรัฐฯ และอินเดียเตรียมลงนามกรอบความร่วมมือด้านกลาโหมระยะเวลา 10 ปี ครอบคลุมความร่วมมือหลายมิติ ตั้งแต่การจัดซื้อและการร่วมผลิตยุทโธปกรณ์ เช่น C-130J, CH-47F, MQ-9Bs รวมถึงการจัดหาเครื่องบินตรวจการณ์ P-8I เพิ่มอีก 6 ลำ
ทั้งสองฝ่ายยังเดินหน้าทบทวนกฎระเบียบการโอนอาวุธ (รวมถึง ITAR) พร้อมเริ่มเจรจาความตกลง Reciprocal Defense Procurement (RDP) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจัดซื้อร่วม
นอกจากนี้ยังเปิดตัว Autonomous Systems Industry Alliance (ASIA) เพื่อผลักดันความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยมีความร่วมมือเด่นอย่าง Anduril–Mahindra และ L3 Harris–Bharat Electronics
ด้านการปฏิบัติการร่วม จะเพิ่มระดับความร่วมมือทางทหารในทุกมิติ รวมถึงขยายขอบเขตและความซับซ้อนของการฝึกผสม “Tiger Triumph” รวมถึงส่งเสริมการประสานด้านโลจิสติกส์ การแบ่งปันข่าวกรอง และความร่วมมือด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ทั้งสองประเทศตั้งเป้าผลักดัน Mission 500 เพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีให้แตะ 500 พันล้านเหรียญภายในปี 2030 พร้อมเตรียมเปิดการเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคี (BTA) ครั้งแรกภายในฤดูใบไม้ร่วงปี 2025
โดยความร่วมมือด้านการค้านั้นจะเดินหน้าควบคู่กับมาตรการลดภาษีซึ่งกันและกัน สหรัฐฯ เปิดทางให้อินเดียส่งออกมะม่วงและทับทิม ขณะที่อินเดียปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ หลายรายการ เช่น วิสกี้ รถจักรยานยนต์ อุปกรณ์ ICT โลหะ และผลิตภัณฑ์การแพทย์
นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการลงทุนข้ามพรมแดน โดยบริษัทอย่าง Novelis, JSW, Epsilon Advanced Materials และ Jubilant Pharma ทุ่มรวมกว่า 7.35 พันล้านเหรียญ คาดว่าจะสร้างงานใหม่มากกว่า 3,000 ตำแหน่ง
ทั้งสองประเทศยืนยันความร่วมมือด้านพลังงานในทุกมิติ ทั้งน้ำมัน ก๊าซ และพลังงานนิวเคลียร์ ภายใต้กรอบ Energy Security Partnership
สหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานจากอินเดีย ควบคู่กับการผลักดันให้อินเดียก้าวสู่การเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของ International Energy Agency (IEA)
ในด้านพลังงานนิวเคลียร์ ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าความร่วมมือภายใต้ ข้อตกลง 123 Civil Nuclear Agreement ครอบคลุมการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการปรับปรุงกฎหมาย CLNDA ของอินเดียเพื่อเอื้อต่อการลงทุนและความร่วมมือในอนาคต
ทั้งสองประเทศเปิดตัว TRUST Initiative เพื่อผลักดันความร่วมมือด้านเทคโนโลยีกลยุทธ์ ครอบคลุม AI, เซมิคอนดักเตอร์, ควอนตัม, เทคโนโลยีชีวภาพ, พลังงาน และอวกาศ มีแผนจัดทำ Roadmap สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI พร้อมส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในศูนย์ข้อมูลและชิปประมวลผล AI ควบคู่กับการก่อตั้ง INDUS Innovation และการเสริมความร่วมมือภายใต้ INDUS-X เพื่อเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัย
ด้านความมั่นคงห่วงโซ่อุปทาน ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือด้านวัสดุขั้นสูง วัสดุอุตสาหกรรม และยาสำคัญ พร้อมเปิดตัว Strategic Mineral Recovery Initiative สำหรับการฟื้นฟูและแปรรูปแร่สำคัญ เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และแร่หายาก ผ่านภาคอุตสาหกรรมหนัก
ความร่วมมือด้านอวกาศก้าวสู่ระดับใหม่ โดยจะส่งนักบินอวกาศอินเดียไปปฏิบัติภารกิจบน สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ร่วมภารกิจ NISAR และโครงการอวกาศอื่น ๆ ร่วมกัน
ในด้านงานวิจัยจะขยายความร่วมมือระหว่าง National Science Foundation (สหรัฐฯ) และ Anusandhan National Research Foundation (อินเดีย) ครอบคลุมหัวข้อขั้นสูง อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ การเรียนรู้ของเครื่อง (ML) และยานยนต์อัจฉริยะ
สุดท้าย ทั้งสองประเทศย้ำความสำคัญของการ ควบคุมการส่งออกและความมั่นคงด้านเทคโนโลยี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งสองประเทศเน้นย้ำความเป็นหุ้นส่วนในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก โดยยึดหลัก อาเซียน กฎหมายระหว่างประเทศ การค้าเสรี และการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี โดยนายกรัฐมนตรีโมดีเตรียมเป็นเจ้าภาพ การประชุมสุดยอด Quad ซึ่งจะมีการเปิดตัวความร่วมมือใหม่ อาทิ Airlift shared capacity และการลาดตระเวนทางทะเล (maritime patrols)
ในด้านการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายจะร่วมผลักดันโครงการ India–Middle East–Europe Corridor และ I2U2 group โดยกำหนดประชุมภายใน 6 เดือนเพื่อประกาศโครงการใหม่ ขณะเดียวกันยังได้เปิดตัว Indian Ocean Strategic Venture เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อดิจิทัล เช่น ระบบเคเบิลใต้น้ำของ Meta
ความร่วมมือพหุภาคีจะได้รับการเสริมสร้าง โดยอินเดียจะมีบทบาทสำคัญใน Combined Maritime Forces พร้อมทั้งการต่อต้านการก่อการร้ายจากกลุ่มต่าง ๆ เช่น Al-Qa’ida, ISIS และ Jaish-e-Mohammad รวมถึงการยืนยันอนุมัติส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน Tahawwur Rana
ทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับ นักเรียนอินเดียกว่า 300,000 คนในสหรัฐฯ ซึ่งสร้างรายได้กว่า 8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และสร้างงานหลายตำแหน่ง
สหรัฐฯ และอินเดียสนับสนุนความร่วมมือด้านการศึกษา เช่น หลักสูตรคู่, ศูนย์ความเป็นเลิศ, และวิทยาเขตในอินเดียของมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ด้านแรงงาน ทั้งสองฝ่ายจะปรับปรุงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างถูกกฎหมาย พร้อมแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายและเครือข่ายการค้ามนุษย์
ความร่วมมือยังครอบคลุมการปราบปราม การค้ามนุษย์, อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยคุกคามอื่น ๆ พร้อมรักษาการแลกเปลี่ยนระดับสูงเพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ “India–U.S. partnership for the global good”
เร่งพัฒนา AI ของตัวเอง ไม่พึ่งพาชาติตะวันตก
ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการต่อยอดจากปีที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลอินเดียอนุมัติเงินลงทุนกว่า 103,000 ล้านรูปี (ราว 1,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อผลักดันโครงการด้านปัญญาประดิษฐ์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผล, การพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM), การสนับสนุนสตาร์ทอัพ AI ไปจนถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI สำหรับภาคสาธารณะ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้าง LLM หลายภาษาเพื่อประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน
ในฝั่งกลาโหม อินเดียเริ่มพัฒนา AI มาตั้งแต่ปี 2561 ผ่านการสร้างผู้ช่วยเสมือน เช่น แชตบอต, ออดิโอบอต และวิดีโอบอต เพื่อสนับสนุนงานนอกสนามรบ นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในงานธุรการ, โลจิสติกส์, การจัดซื้อ, การฝึกอบรม, การจำลองยุทธวิธี (wargaming), การบรรเทาภัยพิบัติ ตลอดจนการจัดทำหลักเกณฑ์ด้านเทคนิคและจริยธรรม
ก้าวต่อไปที่อินเดียตั้งเป้าไว้ คือการพัฒนา โมเดลภาษาขนาดใหญ่เพื่อการป้องกันประเทศ โดยมีตัวอย่างจากสหรัฐฯ ที่สร้าง Defense Llama ซึ่งพัฒนาโดย Scale AI บนฐานของ Llama 3 ของ Meta และถูกฝึกด้วยข้อมูลด้านนโยบายกลาโหมและหลักจริยธรรมเป็นต้นแบบ
โมเดล LLM ของอินเดียถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการฝึกสอน โดยมีขนาดพารามิเตอร์มากถึง 1.56 ล้านล้านตัว (ข้อมูล ณ มกราคม 2025) ถือเป็นหนึ่งในโมเดลที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก ขณะเดียวกัน อินเดียยังมีฐานข้อมูลภาษาที่หลากหลาย ทั้ง ภาษาตระกูลอินดิก, ภาษาฮินดี รวมถึงภาษาราชการอีกกว่า 21 ภาษา ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการฝึกโมเดลได้เช่นกัน
หนึ่งในความก้าวหน้าที่โดดเด่นคือ Sarvam 2B ผลงานของสตาร์ทอัพอินเดียที่พัฒนาโมเดลภาษาขนาดเล็ก (SLM) แบบ โอเพ่นซอร์ส ซึ่งรองรับภาษาหลักส่วนใหญ่ของประเทศ และแสดงศักยภาพเหนือกว่าโมเดลจากต่างประเทศในการใช้งานจริง
เรียกว่ากลยุทธ์ในครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของ “อินเดีย” ผันตัวเองจาก “ตลาดซอฟต์แวร์” ให้กลายเป็น “ศูนย์กลางด้าน defense innovation” ซึ่งจะส่งผลดีให้กับภาคเอกชนตามมา ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ
ตามข้อมูลของ Nasscom คาดการณ์ว่า ตลาด AI ของอินเดียจะแตะระดับ 17,000 ล้านเหรียญในปี 2570 โดยระหว่างปี 2567 – 2570 จะมีอัตราการเติบโตต่อปี 25%-35%
ที่มา whitehouse orfonline reuters IndiaAI