
Time magazine ประกาศให้ “สถาปนิกผู้พัฒนา AI” เป็นบุคคลแห่งปี ยกย่อง เจนเซน หวง (Nvidia), แซม อัลต์แมน (OpenAI) และอีลอน มัสก์ (xAI) ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรม AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก
ไทม์ระบุว่ากลุ่มผู้นำเหล่านี้เป็นผู้ “คว้าโอกาสทางประวัติศาสตร์ สร้างเทคโนโลยีและตัดสินใจในสิ่งที่กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ข้อมูล สภาพภูมิอากาศ และวิถีชีวิตของมนุษย์” พร้อมนำเสนอภาพหน้าปกที่อ้างอิง “Lunch atop a Skyscraper” ภาพคนงานเหล็กบนคานสูงเหนือมหานครนิวยอร์ก แต่แทนที่ด้วยผู้นำวงการ AI อย่าง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Meta), ลิซ่า ซู (AMD), เดมิส ฮัสซาบิส (Google DeepMind), ดาริโอ อโมเดอี (Anthropic) และเฟย-เฟย หลี่ (สแตนฟอร์ด)
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ แม้ไทม์จะยกย่อง AI เป็นแนวหน้าของยุคนี้ แต่นิตยสารยังเลือกใช้ศิลปินมนุษย์มาสร้างสรรค์ภาพปกแทนที่จะใช้ AI

ไทม์ชี้ว่า มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อเวทีโลกมากที่สุดนับตั้งแต่การถือกำเนิดของอาวุธนิวเคลียร์ โดยกลุ่มผู้นำ AI เหล่านี้แข่งขันกันทั้งในฐานะคู่แข่งและนักลงทุน พร้อมทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีขนาดยักษ์ ซึ่งกำลังกำหนดทิศทางนโยบายรัฐ การแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการนำหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน
นอกจากผู้พัฒนาโมเดลอย่าง ChatGPT และ Claude แล้ว ไทม์ยังกล่าวถึงนักลงทุนรายใหญ่ เช่น มาซาโยชิ ซอน (SoftBank) ผู้ทุ่มเงินมหาศาลสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ด้วย
ไทม์ระบุว่า ปี 2025 คือช่วงที่ AI เปลี่ยนจาก “คำสัญญา” สู่ “ความจริง” โดยมีผู้ใช้ ChatGPT เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว คิดเป็น 10% ของประชากรโลก เจนเซน หวงให้สัมภาษณ์ว่า “AI คือเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคของเรา” และประเมินว่าเศรษฐกิจโลกอาจขยายจาก 100 ล้านล้านเหรียญเป็น 500 ล้านล้านเหรียญด้วยพลังของ AI
อย่างไรก็ตาม ไทม์ยังสะท้อนด้านมืดของเทคโนโลยีนี้ ไม่ว่าจะเป็นการที่แชตบอตสร้างปัญหาเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต (chatbot psychosis) จนไปถึงกรณีฟ้องร้องที่อ้างว่า ChatGPT มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอัตวินิบาตของวัยรุ่นในสหรัฐฯ รวมถึงการกังวลต่อการแทนที่แรงงานจำนวนมาก
โทมัส ฮัดสัน นักวิเคราะห์จากฟอร์เรสเตอร์ ให้ความเห็นว่า การคัดเลือกบุคคลแห่งปีในครั้งนี้สะท้อนบทบาทอันทรงพลังของ AI ได้อย่างชัดเจน เพราะ “AI กลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจปี 2025 และเป็นหัวใจของการถกเถียงว่ามันจะกำหนดอนาคตสังคมอย่างไร”
ที่มา japantoday





