Apple เตรียมประกาศความร่วมมือกับ OpenAI ในงาน WWDC 2024 ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยฟีเจอร์ AI ส่วนใหญ่ที่ร่วมมือกันนั้นจะต้องเปิดถึงจะใช้งานได้
ก่อนหน้านี้ Sam Altman ผู้บริหารของ OpenAI เคยขึ้นเวทีของ WWDC 2008 มาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ 23 ปีเท่านั้น โดยขึ้นพูดเรื่องการใช้ App Store เพื่อโปรโมตบริการใหม่ของเขาที่มีชื่อว่า Loopt สำหรับแชร์พิกัดเพื่อน ซึ่งเขาตื่นเต้นที่มีส่วนร่วมในยุคใหม่ของสมาร์ตโฟนผ่านไป 16 ปี เขากลับมาใหม่เพราะทาง Apple ต้องการให้ช่วยเหมือนๆกับที่เขาต้องการ Apple
ตอนนี้ OpenAI ถือเป็นสตาร์ทอัพแถวหน้าด้าน generative AI ซึ่ง Apple นั้นก็พยายามแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้อยู่ การบรรลุข้อตกลงกับ OpenAI จะทำให้สามารถนำ ChatGPT ผนวกเข้าไปกับระบบปฏิบัติการของ iPhone ได้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า Altman อาจจะไม่ได้ปรากฎตัว ขึ้น Keynote ใน WWDC 2024 แต่นี่ก็แสดงถึงอำนาจใน Silicon Valley ที่เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้ง Apple และ OpenAI ไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของดีลที่เกิดขึ้น ข้อตกลงนี้จะทำให้ OpenAI เข้าถึงผู้ใช้ Apple จำนวนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก ซึ่งบางส่วนที่อาจจะลังเลหรือไม่เคยใช้งาน ฝั่ง Apple นั้นจะได้ประโยชน์ สามารถนำแชทบอทที่ร้อนแรงและมีประสิทธิภาพมาใช้งานคู่กับบริการของตัวเอง
ฝั่งของ Apple เองก็พัฒนาฟีเจอร์ AI ของตัวเอง ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบคือ ประมวลผลในอุปกรณ์ และประมวลผลผ่าน Cloud โดยผสานเข้าไปกับการทำงานของ Siri ผู้ช่วยเสมือนจริงให้ทำงานได้ฉลาดยิ่งขึ้น ส่วนแชทบอทของ Apple นั้นจะยังไม่เห็นเปิดตัวในเร็วๆนี้
ทาง Dag Kittlaus ผู้ก่อตั้งบริษัทผู้พัฒนา SIRI ก่อนที่จะถูก Apple ซื้อไป มองว่าการร่วมมือกับ OpenAI นั้นน่าจะเป็นความร่วมมือในระยะกลางและสั้นเท่านั้น ซึ่งทั้งสองฝั่งตอนนี้พยายามอย่างหนักในการพัฒนาความสามารถของตัวเอง
ในงาน WWDC ครั้งนี้เราจะเห็น Tim Cook ขายของครั้งใหญ่ในรอบหลายปี เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภค, นักพัฒนาและนักลงทุน ว่าสามารถสู้กับคู่แข่งในยุค AI ได้ เนื่องจาก Apple เผชิญความกดดันอย่างหนักในเรื่องของผลประกอบการ ซึ่งรายได้ในช่วง 6 ไตรมาสที่ผ่านมา ลดลงถึง 5 ไตรมาส
Apple นั้นเริ่มเปิดตลาด AI ในปี 2011 ด้วย Siri ผู้ช่วยเสมือนจริงบน iPhpne สามารถเอาชนะได้ทั้ง Alexa และ Google Assistant แต่มาวันนี้กลับตามหลังคู่แข่งนับตั้งแต่เปิดตัว ChatGPT ในปี 2022.
การมาของ ChatGPT ทำให้คนทั้งโลกหันมาจับตา AI เพราะมันทำอะไรได้เหนือกว่าจินตนาการของคน บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างก็เร่งพัฒนาบริการ AI ของตัวเอง ทำให้คู่แข่งเริ่มแซงหน้า Apple ไปหลายก้าว ไม่ว่าจะเป็น Gemini จาก Google ที่ก้าวขึ้นมาท้าทายตำแหน่ง, Microsoft Corp. หนึ่งในผู้สนับสนุนรายใหญ่ของ OpenAI ก็พัฒนา Copilot ฝังลงในบริการของตัวเอง ส่วน Amazon.com เองก็มี Alexa ที่อัปเกรด AI เข้าไป
ในขณะที่ Apple นั้นกลับค่อนข้างเงียบ ซึ่งปีที่แล้ว Tim Cook บอกว่านี่คือเรื่องใหม่ ต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวัง ซึ่งเขาบอกว่า Apple มีความได้เปรียบด้าน AI เนื่องจากการหลอมรวมที่ไร้รอยต่อระหว่างฮาร์ดแวร์, ซอฟท์แวร์ และบริการเข้าด้วยกันผ่านระบบนิเวศของ Apple ซึ่งเบื้องหลัง ทีมงานของ Apple ก็พยายามอย่างหนัก ตอนที่ ChatGPT เปิดตัวครั้งแรก ทีมงานเล็กๆของ Apple จากแผนก AI และ software engineering ได้เริ่มพัฒนา ChatGPT ในแบบของตัวเองด้วยการใช้เฟรมเวิร์กชื่อว่า Ajax.
ทาง Craig Federighi ผู้บริหารด้านซอฟท์แวร์ของ Apple ได้ผลักดันให้ผู้บริการใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ทั้ง iPhone และ iPad ที่มาพร้อม AI ในชื่อโครงการที่รู้กันภายในว่า “Crystal” รวมถึงการสร้าง data center แห่งใหม่สำหรับสนับสนุนบริการ AI ผ่าน Cloud ซึ่งมีการเปรยเบื้องต้นแล้วว่า AI จะใช้งานได้ในแอป Apple Music และ iWork
AI ที่ Apple พัฒนาขึ้นนั้นมีความสามารถเพียงพอที่จะขับเคลื่อนฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การถอดเสียงบันทึกและการแก้ไขรูปภาพ รวมถึงความสามารถในการค้นหาใหม่ในเว็บเบราว์เซอร์ Safari และการตอบกลับอัตโนมัติในแอปอย่าง Messages แต่ว่า OpenAI และ Google นั้นพัฒนาแชทบอทล้ำหน้าไปมาก และให้ความช่วยเหลือแบบทันทีทันใด
นั่นทำให้ Apple ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะเทคโนโลยีของ Apple ยังไม่พร้อม ซึ่งผู้บริหารเองก็กังวลว่าจะกระทบกับชื่อเสียง หากแชทบอททำงานผิดพลาดครั้งใหญ่ แถมคนบางส่วนใน Apple ยังปฏิเสธการมาของแชทบอท
ฝั่งของผู้ใช้เองก็คาดหวังบริการ AI จาก Apple หลังจากที่คู่แข่งอย่าง Samsung เปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ Apple เริ่มมองหาความร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ ซึ่งปูทางไปสู่การเจรจากับ OpenAI และ Google ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อนำแชทบอทไปใส่ในระบบปฏิบัติการของตัวเอง การที่ Apple ตัดสินใจใช้บริการแชทบอทของบริษัทอื่นแทน เพื่อแยกบริการของตัวเองออกไป ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดขึ้นมา
แม้ Apple ยังเจรจากับ Google ในการนำ Gemini มาใช้งาน แต่สุดท้ายกลับปิดดีลได้กับ OpenAI ได้สำเร็จก่อน แต่สุดท้าย Apple อาจจเพิ่มแชทบอท third-party เพิ่มเข้าไปได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจา
การที่ Apple เลือก OpenAI เป็นพันธมิตรนั้นมีเหตุผลหลายประการ ข้อแรกคือ ข้อเสนอธุรกิจที่เหนือกว่า Google ต่อมาคือ Apple เชื่อว่าเทคโนโลยีของ OpenAI นั้นดีที่สุดในตลาดตอนนี้ การรวม Google AI เข้ากับ iPhone อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าได้พ่ายแพ้ต่อคู่แข่งทางเทคโนโลยีรายใหญ่ของ Apple ในยุคสมัยของ AI
ฝั่งของ OpenAI จะได้รับการผนวกเข้ากับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่ขายดีที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ Apple ให้ความสำคัญคือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งหลายคนยังสงสัยด้านนี้ของ ChatGPT ทั้งนี้ต้องดูว่า Apple จะผนวกเข้าไปในระบบปฏิบัติการมากน้อยแค่ไหน เพราะนั่นคือการเปิดทางให้ OpenAI สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลได้
แหล่งข่าวรายงานว่า Apple นั้นจะนำเสนอฟีเจอร์ AI ใหม่เป็นบริการแบบ opt-in ซึ่งผู้ใช้ต้องไปเปิดใช้งานเองด้วยความสมัครใจ คนที่ไม่อยากใช้งานก็จะได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่ว่าข้อตกลงจะเป็นยังไง สุดท้าย OpenAI ก็จะเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น เพราะ Apple จะพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเอง เหมือนตอนที่เปลี่ยนจากการใช้ชิป Apple Silicon แทนชิปของ Intel
Apple นั้นมองไกลกว่าแชทบอท เป้าหมายก็คือการใช้โมเดล LLM ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของ generative AI มาช่วยเสริมการทำงานของอุปกรณ์หุ่นยนต์ที่ซุ่มพัฒนาอยู่นั่นเอง อาจจะเป็น แขนหุ่นยนต์ตั้งโต๊ะที่มาพร้อมจอเหมือน iPad ซึ่งมีข่าวลือว่า Apple ซุ่มพัฒนาหุ่นยนต์เคลื่อนที่ สามารถติดตามผู้ใช้ช่วยทำงานต่างๆได้ด้วยตัวเอง นอจากนั้นมนอนาคตหูฟัง AirPods อาจจะมีกล้องและความสามารถ AI ด้วย
ยิ่งกว่านั้น ยังมีโอกาสสำหรับ Siri ที่ถูกพัฒนาศักยภาพของมันให้เพิ่มขึ้น โดยไม่มีข้อจำกัดทางเทคนิคอีกต่อไป