หลังจากที่ AI เริ่มกลายเป็นเทรนด์ยุคนี้ เราจึงได้เห็นผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใส่ความสามารถของปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น เช่น Humane AI Pin หรือ Rabbit R1 มาวันนี้ก็มีการเปิดตัวแว่นอัจฉริยะ “Frame” ที่มาพร้อมจอแบบ HUD พร้อม multimodal AI ในราคา 350 ดอลลาร์หรือประมาณ 12,570 บาท ทาง Brilliant Labs บอกว่า The Frame คือ
แม้ Vision Pro จะมีราคาแพงถึงหลักแสน แต่ในช่วงพรีออเดอร์ 10 วันแรก ทาง Apple ฟันยอดขายไปถึง 200,000 เครื่องในช่วงพรีออเดอร์ 10 วันแรกจนทำให้สต็อกหมดเกลี้ยง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทาง Meta และแพลตฟอร์มอื่นๆนั้นจะพยายามผลักดันเทคโนโลยี virtual reality แต่ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ยังไม่สามารถขยายตัวไปในวงกว้างได้ การที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Apple เข้ามาแจมด้วย Vision Pro ถือเป็นโอกาสขยายการใช้งานไปยังกลุ่มอื่นๆที่นอกเหนือจากการเล่นเกม Vision Pro
ใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อแว่นตา Vision Pro อาจจะต้องซื้อเคสเพิ่มด้วย เพราะค่าซ่อมนั้นแพงถึง 85,200 บาท ใครที่อยากซื้อ Vision Pro ตอนนี้เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าแล้ว โดยจะวางขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ แนะนำว่าซื้อแล้วอย่าลืมซื้อเคสป้องกันเพิ่มอีกเพราะค่าซ่อมแพงมาก จากข้อมูลในหน้า repair and service ของ Apple นั้นได้ลงรายละเอียดค่าซ่อมของ Vision Pro ซึ่งเรียกว่าแพงมากถึงแม้เราจะซื้อประกัน AppleCare+ เพิ่มแล้วก็ตาม เริ่มตั้งแต่กระจกด้านหน้า ถ้าเราเผลอทำแตก ค่าเปลี่ยนอยู่ที่ 799 ดอลลาร์หรือประมาณ
VividQ สตาร์ทอัพจากสหราชอณาจักรประสบความสำเร็จในการพัฒนาโฮโลแกรมสามมิติที่ชัดขนาด “retina resolution.” เรียกว่าเป็นอีกความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโฮโลแกรม ที่สามารถพัฒนาภาพความละเอียดสูงที่มองด้วยตาเปล่าเห็น ทำให้เราได้ภาพที่คมชัดสมจริงขึ้น โดยทาง VividQ วางแผนที่จะนำเทคโนโลยีนี้ใส่เข้าไปในแว่นตา VR ยุคต่อไป ทางวิศวกรของ VividQ ได้สร้างโฮโลแกรมด้วยคลื่นแสงเพื่อเรนเดอร์วัตถุในพื้นที่ 3 มิติ โดยใช้ซอฟต์แวร์จะเป็นตัวกำหนดเส้นทางของแสง เทคนิคนี้จำลองวิธีที่เราเห็นวัตถุเนื่องจากสะท้อนแสงเข้าตาของเรา VividQ ฉายภาพที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านฮาร์ดแวร์จอแสดงผล 4K ประสิทธิภาพสูง ทำให้วางวัตถุโฮโลแกรม 3 มิติไว้ที่ระยะห่างใดก็ได้ภายในช่วงโฟกัสของแต่ละบุคคล ผู้ใช้จึงสามารถเปลี่ยนโฟกัสระหว่างวัตถุต่างๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เทคโนโลยีนี้จะส่งผลดีต่อแอปพลิเคชัน VR
Apple เผยรายละเอียด Vision Pro เริ่มวางขาย 2 กุมภาพันธ์ เปิดตัวพร้อมภาพยนตร์สามมิติกว่า 150 เรื่อง รวมถึงมีบริการสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ และ Amazon Prime Video Vision Pro จะเปิดให้ผู้้สามารถดาวน์โหลดและสตรีมคอนเทนท์จาก Disney+, ESPN, MLB, PGA Tour, Max, Discovery+, Amazon Prime Video, Paramount+,
Apple ประกาศวางจำหน่าย Vision Pro อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ พร้อมเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าในวันที่ 19 มกราคม Vision Pro เรียกว่าเป็นแว่นตาตัวแรกของ Apple ที่มาพร้อมซอฟท์แวร์ใหม่อย่าง visionOS ซึ่ง Tim Cook กล่าวว่า “นี่คือการเปิดยุคใหม่ของ spatial computing ซึ่ง Apple Vision Pro เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำที่สุดเท่าที่เราเคยสร้างมา มันมาพร้อมอินเทอร์เฟซที่น่ามหัศจรรย์ ที่จะเปลี่ยนวิธีการเชื่อมค่อ สร้างและสำรวจโลก”
ในเกาหลี หลอดเลือดสมองเป็นอาการอันดับ 1 ที่ทำให้ผู้ป่วยหลายคนกลายเป็นคนพิการ จากการศึกษาของ Rising Craft พบว่า 72% ของผู้ป่วยมีอาการอื่นตามมาอีก เช่น อัมพาตครึ่งซีก (hemiplegia) ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้ต้องเสียค่ายากและรักษาทางการแพทย์ต่อปีในจำนวนมาก แต่การฟื้นฟูหรือกายภาพบำบัดนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา เพื่อให้สมองเชื่อมต่อเซลล์ประสาทอีกครั้ง รวมถึงก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายพอสมควร ทาง Rising Craft จึงได้พัฒนา TiU medi ตัวช่วยฟื้นฟูแบบดิจิทัลเพื่อให้ใช้งานได้ทั้งที่บ้านหรือโรงพยาบาล มันทํางานโดยมีซอฟต์แวร์และอุปกรณ์สําหรับสภาพแวดล้อมทางคลินิกที่จะใช้ในวันแรก / สัปดาห์เมื่อมันสําคัญที่สุด นอกจากนี้ยังมีคอุปกรณ์ / แอปสำหรับใช้งาน ที่บ้าน
หลังจากที่เปิดตัว Vision Pro ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่าน พร้อมประกาศวางขายต้นปี 2024 มาวันนี้ทาง Mark Gurman จาก Bloomberg รายงานว่า Apple เตรียมวางขาย Vision Pro ภายในกุมภาพันธ์ปี 2024 เนื่องจากตัวเครื่องมีราคาสูงถึง 3,499 ดอลลาร์หรือประมาณ 122,340 บาท รวมถึงจำนวนเครื่องที่มีจำกัด เราจึงไม่เห็นงานเปิดตัวแยกออกมาเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญก็คือ การฝึกอบรมพนักงานใน Apple Store เพื่อให้คำแนะนำลูกค้าใหม่ในเรื่องการใช้งาน
แม้แว่นตา Vision Pro รุ่นแรกยังไม่วางขาย แต่ Apple ซุ่มพัฒนา Vision Pro รุ่นต่อไปแล้ว เน้นสวมใส่สบายขึ้น จากรายงานของ Mark Gurman จาก Bloomberg บอกว่า Vision Pro รุ่นต่อไปนั้น Apple จะโฟกัสไปที่การทำให้แว่นตามีน้ำหนักเบาขึ้น พร้อมกับขนาดที่เล็กลง เนื่องจาก Vision Pro รุ่นแรกนั้นมีขนาดและน้ำหนักค่อนข้างมาก ทำให้เวลาใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาปวดคอได้ ยิ่งคนใช้งานสั้นก็ลดแนวโน้มที่จะซื้อมาใช้งาน ส่วนเรื่องต่อมาก็คือ
แม้จะมีข่าวว่าผู็ที่ซื้อ Ray-Ban Stories ไปกว่า 90% ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่ทาง Meta เองก็วางแผนเปิดตัวรุ่นที่ 2 เพิ่มความสามารถในการสตรีมิ่งวิดีโอไปยังคนที่กำลังคุยกับเรา ทาง Janko Roettgers นักข่าวสายเทค รายงานว่าเพิ่งได้รับเอกสารภายในของ Meta แสดงให้เห็นว่า Ray-Ban Stories รุ่นที่สอง ที่ไม่ใช่แค่สตรีมวิดีโอไปยัง Facebook และ Instagram เท่านั้น แต่ยังได้ยินเสียงข้างๆหูด้วย ในเอกสารของ Meta ระบุว่า
