จากกรณีภาพข่าวที่กองทัพไทยมีการนำโดรนมาดัดแปลงเพื่อใช้ในภารกิจทางทหาร โดยใช้โดรนชนิดหนึ่งในการปล่อยวัตถุระเบิดและใช้อีกลำในการบินถ่ายทำ ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงในวงการเทคโนโลยีและยุทธศาสตร์ของไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านโดรนหลายรายได้ออกมาแสดงความกังวลถึงความเสี่ยงในระยะยาว โดยเฉพาะการพึ่งพาเทคโนโลยีและชิ้นส่วนจากประเทศจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกจำกัดการส่งออกและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญด้านโดรนในไทยได้ร่วมกันวิเคราะห์ภาพข่าวและมีความเห็นตรงกันว่า โดรนที่ถูกนำมาใช้งานนั้นเป็น “โดรนเพื่อการเกษตร” ที่หาซื้อได้ทั่วไป และถูกนำมาดัดแปลงเพื่อติดตั้งระบบปล่อยวัตถุ (Payload Releasing System) ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว การดัดแปลงดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อนเกินความสามารถ ผู้ที่มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์หรือแม้แต่นักเล่นเครื่องบินวิทยุบังคับก็สามารถทำได้ แต่ประเด็นที่น่ากังวลคือการนำไปใช้งานในลักษณะนี้อย่างเปิดเผย ซึ่งขัดต่อนโยบายของรัฐบาลจีนที่ไม่สนับสนุนการนำโดรนพลเรือนไปใช้ในทางการทหารอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญกังวลมากที่สุดคือท่าทีของรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกโดรนและชิ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดของโลก การที่ประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงการนำโดรนพลเรือนไปดัดแปลงเป็นอาวุธ อาจทำให้รัฐบาลจีนออกมาตรการกีดกันทางการค้า หรือร้ายแรงที่สุดคือ “ห้ามส่งออก” โดรนและชิ้นส่วนสำคัญมายังประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากปัจจุบัน Ecosystem ของอุตสาหกรรมโดรนในไทยต้องพึ่งพาส่วนประกอบหลักจากจีนเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์, แบตเตอรี่, ระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ (Autopilot) และระบบควบคุมวิทยุ (RF Control)
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2024 จีนได้ประกาศใช้นโยบาย ห้ามส่งออกโดรนพลเรือนหรืออุปกรณ์ที่จีนทราบหรือควรจะทราบว่าจะถูกดัดแปลงไปใช้ในทางการทหาร หรือเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางทหาร การก่อการร้าย หรือการขยายอาวุธทำลายล้างสูง โดยครอบคลุมทั้ง โดรนพลเรือนที่สามารถดัดแปลงเป็นโดรนการทหาร เช่น โดรนเกษตร โดรนอุตสาหกรรม ที่ถูกนำไปติดตั้งอาวุธหรือใช้งานทางการทหาร ผู้ผลิตโดรนจีนและบริษัทส่งออกต้องขออนุญาตและได้รับการอนุมัติจากทางการจีน หากอุปกรณ์นั้นตรงกับรายการควบคุม เช่น เครื่องยนต์กำลังสูง อุปกรณ์อินฟราเรด เรดาร์ เลเซอร์ อุปกรณ์การสื่อสาร และระบบรบกวนคลื่น และหากพบว่าประเทศคู่ค้าดัดแปลงโดรนเพื่อใช้ในทางการทหาร จีนสามารถชะลอหรือระงับการส่งออกโดรนไปยังประเทศนั้นทันที และจะมีการลงโทษตามกฎหมายควบคุมการส่งออกของจีน
การกระทำของไทยจึงอาจยิ่งเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการดังกล่าว ซึ่งหากไทยถูกตัดออกจากห่วงโซ่อุปทานนี้ การจะเริ่มต้นพัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำอาจต้องใช้เวลาหลายปี
เหตุการณ์นี้เป็นเหมือน “สัญญาณเตือน” ที่ประเทศไทยต้องหันมาทบทวนนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีโดรนอย่างจริงจัง แทนที่จะเป็นเพียงผู้ซื้อและผู้ดัดแปลง ควรมีการลงทุนและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างอุตสาหกรรมโดรนของตนเอง ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศและสร้างความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ในระยะยาว
แนวทางที่ควรพิจารณาคือ การวาง “เงื่อนไข” และ “กฎระเบียบ” ที่สมเหตุสมผลและเอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยอาจต้องมีการจัดตั้ง “พื้นที่อนุญาตทดสอบ (Sandbox)” เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักพัฒนาสามารถทดลองและสร้างสรรค์โดรนประเภทต่าง ๆ ได้อย่างถูกกฎหมายและปลอดภัย ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญภายในประเทศ
แม้ภาพโดรนทิ้งระเบิดอาจสร้างความรู้สึกสะใจหรือแสดงถึงศักยภาพทางทหารในระยะสั้น แต่ผลกระทบที่อาจตามมาในระยะยาวนั้นน่ากังวลกว่ามาก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมองข้ามความสำเร็จเฉพาะหน้า และวางรากฐานสำหรับอนาคต การลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีโดรนของตนเอง แม้จะต้องใช้เวลาและงบประมาณ แต่นี่อาจคือหนทางที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางเทคโนโลยีและอำนาจอธิปไตยทางยุทธศาสตร์ที่แท้จริงและยั่งยืน